Saturday, 21 May 2016

SAMA'S Story:พาล่องใต้! [EP.9 ภาคปัจฉิมบท* พากินติ่มซำ ชมสวนดอกไม้เมืองหนาว ณ เบตงใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน!]


      สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เพิ่งสิ้นสุดปิดเทอมฤดูร้อนอันแสนยาวนานไป ปฐมบทใหม่ของภาคเรียนฤดูฝนได้เริ่มขึ้นแล้ว
แต่ดูท่าปีนี้จะร้อนแล้งยาวนาน เพราะกว่าฝนแรกจะตกก็ปาไปครึ่งเดือน 6 เสียแล้ว! หลังจากใช้เวลาง่วนอยู่กับการสมัครแอดมิชชันอยู่นาน สลับอันดับไปอันดับมาจนพอใจแล้วก็ใช้เวลาทำใจต่ออีก 2-3 วัน แล้วจึงรวบรวมพลังมาเขียนเอนทรี่ส่งท้ายท้ายของทริปนี้ครับ เอนทรี่นี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวที่ไหนนั้น ถ้าพร้อมแล้วก็ตามผมมาเลยครับ^^

หากท่านผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถย้อนกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ!


************************************************************************************
*EP.1 กว่าจะถึง"ยะลา"                                                                                                                          *
*EP.2 มาซิเชิญมาดู ชมดอกประดู่ที่เมืองยะลา!                                                                                    *
*EP.3 ทริปแสวงบุญ ในวันแดดแรง แต่ศรัทธาแรงกว่า!                                                                       *

************************************************************************************
เช้าวันที่ 15 เมษายน 2559: หลังจากที่หลับสบายมาตลอดทั้งคืน ประกอบกับอากาศที่เย็นสบายทำให้กว่าผมจะตื่นนอนก็ปาไป 7 นาฬิกาเข้าให้แล้ว วันที่ 15 เมษายนนี้เองที่เพื่อนของแม่ที่เป็นคุณครูจะพาผม คุณแม่ คุณยาย คุณน้า น้องชายของผม และป้าสวยไปทานติ่มซำกันในเมืองเบตง ทำให้ผมต้องรีบจัดการกับกิจวัตรยามเช้าอย่างชุลมุน เมื่อทุกคนจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วจึงมุ่งหน้าสู่หอนาฬิกาเมืองเบตงซึ่งเป็นจุดนัดพบของพวกผม และเพื่อนของแม่ที่เป็นคุณครู (ขอเรียกว่าป้าเมตตานะครับ) ติ่มซำ กับคนเบตง ถือว่าเป็นของคู่กันครับ เนื่องด้วยเป็นเมืองที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นจึงทำให้อาหารท้องถิ่นได้รับอิทธิพลจากแผ่นดินใหญ่ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงเช้าแบบนี้ท่านจึงจะเห็นได้ว่าร้านติ่มซำในเมืองเบตงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มาทานกันเป็นปกติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นทำให้พวกผมต้องเปลี่ยนร้านทานครับ เพราะร้านที่ตั้งใจจะมาทานแต่แรกนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ต้องกลัวครับยังมีร้านติ่มซำในเมืองเบตงอีกหลายร้าน

บรรยากาศร้านติ่มซำยามเช้าในเมืองเบตงครับ (สังเกตป้ายทะเบียนรถครับ) ^^

      เมื่อพลาดจากติ่มซำร้านที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว ป้าเมตตาและสามีจึงขับรถนำไปร้านติ่มซำอีกร้านหนึ่งในทันที โดยมีรถของคุณแม่เป็นผู้ตาม ร้านติ่มซำร้านนี้ตั้งอยู่ในถนนสายรองครับ ทำให้คนไม่แน่นจนเกินไป เมื่อไปถึงหน้าที่สั่งเมนูตกไปเป็นของป้าเมตตาและสามีผู้คร่ำหวอดในเรื่องติ่มซำครับ ส่วนพวกผมนั้นมีหน้าที่รอทาน นั่งจิบชาผสมเก๊กฮวยร้อนพอชื่นใจสักพัก บรรดาขนมจีบหมูเนื้อแน่น บักกุ้ดเต๋(แกงจืดจีน)น้ำใส ข้าวเหนียวไก่เนื้อนุ่ม พร้อมด้วยซาลาเปาไส้เน้นๆก็มาเสริฟจนเต็มโต๊ะเลยครับ ผมไม่รอช้ารีบจัดในทันที ขนมจีบจิ้มซอสพริกร้อนๆ เนื้อแน่นๆ ต่อด้วยซาลาเปาร้อนๆไส้ทะลัก ซดน้ำซุปบักกุ้ดเต๋ให้แก้เลี่ยนสักหน่อย แล้วจิบชาร้อนเก๊กฮวยดับกระหายต่ออย่างสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนไหล่เขาครับ อ่าห์!!! หลังจากนั้นก็มีมาเสริฟต่อเรื่อยๆครับ สงสัยป้าเมตตาเห็นว่าผมทานเยอะเป็นพิเศษ^^ ต้องขออภัยทุกท่านจริงๆที่ถ่ายมาให้ชมได้เพียงแค่รูปเดียวเพราะผมมัวแต่สนุกกับการทานจนลืมถ่ายภาพไปเลยครับ ในบางครั้งการได้ลองของจริงก็น่าจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าการชมจากภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวนะครับ 55555 

โลเคชั่นบริเวณร้านติ่มซำที่ผมมาทานครับ

ถ่ายมาแค่รูปเดียวจริงๆครับ จริงๆมีมากกว่านี้ 5555
      บรรยากาศในร้านติ่มซำนี่รู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวประเทศจีนเลยครับ เพราะไม่ว่าโต๊ะไหนก็จะมีชาวไทยเชื้อสายจีนมานั่งจับเข่าคุยกันยามเช้าเป็นภาษาบรรพบุรุษของตนครับ   "ศภช. รายงานแผ่นดินไหว ขนาด 6.4 ที่จังหวัดคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น ด้านญี่ปุ่น ประกาศเตือนให้ระวังอาฟเตอร์ช็อก ล่าสุด มีผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 45 ราย" เสียงผู้ประกาศข่าวช่องสามสีท่านหนึ่งกำลังอ่านข่าวอย่างคล่องแคล่วผ่านจอแก้วในร้านติ่มซำ ขอแสดงความเสียใจแก่ผู้ประสบภัยทุกคนมา ณ ที่นี้ครับ
      ทานติ่มซำเสร็จกันจนพุงกางแล้ว ป้าเมตตาและสามีจึงได้ชวนพวกผมไปเที่ยว สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง ครับ ท่านอ่านไม่ผิดหรอกครับ เบตงเองแม้ว่าอยู่ในภาคใต้ที่ถูกจัดว่าอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน หรือ AM (Tropical monsoon climate) คือเขตภูมิอากาศที่มีฤดูกาลเพียงสองฤดูคือฤดูร้อน และฤดูฝน รวมถึงเดือนที่แห้งแล้งที่สุดมีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 100 มิลลิเมตร แตกต่างจากเขตอากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนา หรือ AW (Tropical savanna climate) ซึ่งเป็นอากาศที่ปรากฏอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ ที่มีความแตกต่างของอุณหภูมิตลอดทั้งปีมากกว่า และมีปริมาณน้ำฝนในเดือนที่แล้งที่สุดน้อยกว่า 60 มิลลิเมตร แต่เนื่องด้วยพื้นที่ของโครงการสวนดอกไม้เมืองหนาวนั้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเกือบ 1 กิโลเมตร และมีอากาศค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี ปลูกยางพาราไม่ได้ผลผลิต ทำให้เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จเยือน เมื่อปีพ.ศ. 2537 ทรงแนะแนวทางปลูกไม้ดอกเมืองหนาวขึ้นเพื่อพัฒนาอาชีพของชาวบ้าน และเศรษฐกิจของท้องถิ่น
      คุณแม่นัดกับป้าเมตตาและสามีตอน 10 นาฬิกา เพื่อให้ป้าเมตตาและสามีขับรถนำขึ้นไป การเดินทางไปสวนดอกไม้เมืองหนาวเบตงครั้งนี้มีเพื่อนร่วมทางดังนี้คือ คุณแม่ คุณยาย คุณน้า น้องชายของผม ป้าสวย พี่ยิ้ม น้องเจมส์ และผม โดยมีคุณแม่เป็นคนขับรถตามรถของป้าเมตตา จุดนัดพบคือหน้าบ้านของป้าเมตตา เมื่อถึงเวลานัดปุ๊บ คุณแม่จึงรีบพาพวกผมมายังหน้าบ้านของป้าเมตตาปั๊บ ป้าเมตตาเห็นแล้วจึงบอกสามีให้รีบขับรถนำไปในทันที ทางไปสวนดอกไม้เมืองหนาวนั้นใช้ถนนเส้นเดียวกับทางไปบ่อน้ำร้อนเบตงแต่ว่าเลยไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรได้ เมื่อขับเลยจากบ่อน้ำร้อนเบตงมาสักพักจะมีทางสามแยกอยู่ให้เลี้ยวซ้ายตามป้ายเลยครับ ป้ายจะเขียนว่า สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง (สวนหมื่นบุปฝา) ระหว่างทางนั้นเป็นภูเขาสูงชันและสภาพถนนเป็นถนนแคบๆ เวลาขับขึ้นไปต้องใช้เกียร์ต่ำสักเกียร์ 2 ครับขับสบายๆ ถนนสภาพดี วิวทิวทัศน์สวยงามมากแต่เสียดายไม่ได้ถ่ายมาให้ชม มัวแต่ลุ้นระทึก และเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ด้วยสองตาของตัวเองอยู่^^ นั่งเพลินๆมาได้ไม่นานก็ถึงแล้วครับสวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง หรือ สวนหมื่นบุปฝา ปล.เสียค่าเข้าคนละประมาณ 20 บาทนะครับ

จุดนัดพบครับ^^

ทางเข้า และด่านเก็บเงินค่าเข้า สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตงครับ

ขึ้นมาจอดรถครับ^^
      เมื่อผ่านด่านเก็บเงินค่าเข้ามาแล้วท่านจะพบกับโรงเพาะเลี้ยงดอกไม้เมืองหนาวหลากสายพันธุ์ละลานตาไปหมดเลยครับ อาทิ ดอกเยอบีร่า ดอกไฮเดรนเยีย ดอกเบญจมาศ ดอกกุหลาบ ดอกลิลลี่ และดอกอื่นๆที่ผมไม่รู้จักครับ (5555) เลยโรงเพาะชำไปก็จะมีโซนให้ถ่ายรูปครับ ช่วงฤดูร้อนดอกไม้ยังไม่ค่อยงามเท่าไหร่ครับ ต้องมาช่วงต้นปีเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ดอกไม้จะงามและหนาแน่นกว่าช่วงอื่นๆครับ เมื่อขึ้นเขาอีกลูกไปจอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เริ่มตระเวณสำรวจพื้นที่และถ่ายรูปกันในโซนถ่ายภาพครับ อากาศช่วง 10-11 นาฬิกา ยังเย็นสบายอยู่ครับ เดินชมดอกไม้ได้สบายไร้เหงื่อไคลรบกวน แต่พอเที่ยงวันปุ๊บแสงแดดก็สาดส่องแรงกล้าเสียจนแสบตาเลยครับ ในวันที่ผมไปนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอยู่พอสมควรแม้จะไม่ใช่ช่วงที่ดอกไม้สวยที่สุดเหมือนช่วงต้นปี มีทั้งนักท่องเที่ยวจากจังหวัดเพื่อนบ้าน ปัตตานี นราธิวาส ที่ขนกันมาเต็มรถกระบะเป็นครอบครัวเลยครับ นักท่องเที่ยวจากภาคใต้ตอนล่างจังหวัดอื่นๆ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ จากประเทศมาเลเซีย

ดอกไม้บริเวณที่จอดรถครับ สีเหลือง-แดง ถือเป็นสีมงคลที่ให้พรผมได้เป็นอย่างดีครับ ขอให้ได้ ขอให้โดน!

สมมติว่าอยู่ ดอยอ่างขาง แพร๊บ 55555

แหม่ ต้นสน ปลูกกันเป็นทิวแถวนี่สวยดีจริงๆนะครับ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงอักษรจีนพระราชทานนามสวนแห่งนี้ว่า 万花园 แปลว่า สวนหมื่นบุปผาครับ

ทางเข้าชมดอกไม้ในจุดถ่ายรูปครับ

ดอกอะไรครับเนี่ย?

ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าสถานที่แบบนี้จะอยู่ในภาคใต้ได้

สวนหลังบ้านพี่เอง 5555

บรรยากาศดอกไม้ผลิช่วง Spring ก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ //มโนแพร๊บ

ต้นอะไรหว่าาา????

สีเขียว สบายตาจริงๆครับ

ถ้าบอกเพื่อนว่าภาพนี้ถ่ายที่ยะลา เพื่อนจะเชื่อไหม?

ต้นอะไรอีกครับเนี่ย ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์มีน้อยถึงน้อยมากจริงๆ 5555

ภาพนี้ดีมากๆเลยนะครับ แม้ว่าต้นไม้ส่วนใหญ่จะสีโทนเขียวๆ แต่มีต้นหนึ่งที่มีสีแดงแปลกแยกออกมา แต่ก็ยังอยู่ร่วมกันได้ เปรียบเหมือนกับสังคมของเราที่ถึงแม้คนส่วนใหญ่จยึดมั่นในขนบธรรมเนียมเดิมมากแค่ไหน แต่ก็จะมีกลุ่มคนเล็กๆที่คิดต่างได้เหมือนกันครับ ไม่มีสังคมใดที่มีความคิดเดียวเป็นศูนย์กลางหรอกครับ แต่เราก็สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขครับเพียงเปิดรับความคิดของคนอื่นบ้าง อะไรไม่ดีก็ปรับปรุง อะไรดีแล้วก็คงไว้แบบเดิม :D

Don't expect too much from everything and look at the good side of everything that surrounds you, then you'll be not disappointed. - SOLSAMA

รูปครอบครัว Family's trip น่ารักๆ

อ่างขาง อากาศดีมากครับ มโนอีกแล้ว 55555

ดอกชบาครับ ดอกนี้รู้จัก เย่ //ใครๆก็รู้จักไหมล่ะ? 555

ศาลาที่พักก็มีนะครับ^^

หินยักษ์ !!! เสียดายต้นอ่อนของดอกไม้ยังไม่โต ^^

คือดอกไม้อันดีงาม สว่าง งดงาม สดใส //เพลงบอกอายุมาก ผมเพิ่ง 19 เองนะครับ^^

จริงๆแล้วผมมาทำภารกิจที่เขาเหลียงซานครับ มาเอาว่านลึกลับไปถวายท่านใต้เท้า //"__"

แล้วทำไมมีใครต่อใครต้องคอยตัดสินว่าเธอนั้นมันผิด เพียงเพราะว่ามันต่าง...
บนเส้นทางที่ต่างมีใครสักคนไหม ที่มองเห็นทุกอย่างเข้าใจที่ฉันเป็น
เลือกเดินก้าวผ่านทางเดียวเหมือนกันกับฉัน แตกต่างเหมือนกัน

ความแตกต่างแต่สวยงามครับ

Colourful background

ตกแต่งสถานที่ดีเลยนะครับเนี่ย นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเป็นส่วนใหญ่ครับ

เต๊นท์ด้านหลังเป็นเรือนเพาะพันธุ์ครับ

      เพลิดเพลินจากการถ่ายรูป ชมดอกไม้กลางแจ้งมานานพอดู พอแสงแดดเริ่มมาพวกผมจึงหลบไปชมดอกไม้ในเรือนเพาะพันธุ์กันต่อครับ น่าเสียดายจริงๆนะครับที่ดอกไม้หลายๆชนิดไม่มีป้ายอธิบายสายพันธุ์เอาไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มีความรู้เรื่องดอกไม้เท่าหางเขียดอย่างผมทำได้เพียงชื่นชมความงดงามโดยที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเธอเลย TmT หากใครมาชมดอกไม้ไม่จุใจ ทางสวนดอกไม้มีรีสอร์ทบริการครับคืนละ 800 บาท ราคาไม่แพงเลยครับ ที่พักก็สะอาดสะอ้านสวยงามดี ไม่เพียงเท่านี้หากท่านชื่นชมดอกไม้จนสาแก่ใจแล้วอยากเอาไปปลูกที่บ้านบ้างที่สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตงแห่งนี้ ก็มีพันธุ์ไม้ดอกสวยๆมาจำหน่ายให้ท่านอีกด้วยครับ แต่ผมก็ไม่รับประกันนะครับว่าปลูกแล้วจะออกดอกสวยสดงดงามเหมือนที่นี่ไหม เพราะอากาศบนพื้นราบไม่ได้เย็นตลอดทั้งปีเหมือนบนเขาด้วยน่ะสิ!
      ภายในเรือนเพาะพันธุ์แห่งนี้เองก็มีดอกไม้เมืองหนาวสวยๆมากมายไม่แพ้กลางแจ้งเลยครับ แต่พวกผมเดินยังไม่ทั่วก็ต้องรีบกลับกันแล้ว ไว้โอกาสหน้าจะมาสอบซ่อมใหม่นะครับ สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง

ดอกอะไรครับเนี่ย 5555

ดอกไฮเดรนเยีย หน้าตามันเป็นอย่างงี้นี่เอง เคยเห็นในกระทู้พาเที่ยวญี่ปุ่น ไม่นึกว่าบนยอดเขาในภาคใต้ของประเทศไทย ก็ปลูกกับเขาได้ด้วย ^^

ดอกลาเวนเดอร์ที่นี่ก็มีนะครับไม่ต้องบินไกลไปดูถึง Provence ฝรั่งเศส หรือฟาร์มโทมิตะ ที่ฮอกไกโด ญี่ปุ่นแล้วครับ 5555

ดอกลาเวนเดอร์นี่สินะ ที่เอาไปทำกลิ่นใน ก.ย.15 ใช้ทากันยุง 5555

ภาพบางส่วนภายในเรือนเพาะพันธุ์ครับ

อุต๊ะ!!! ดอกอะไรครับเนี่ย^^

This is so scenery!!!

เดินขึ้นเขาไปขึ้นรถกลับแล้วครับ มาตะ อะชิตะ! See ya! แล้วพบกันใหม่!

รีสอร์ทภายในสวนดอกไม้ครับ

      หลังจากได้รับอาหารตาจากการชมดอกไม้จนเต็มอิ่ม ถ่ายรูปกันจนหน่วยความจำของกล้องถ่ายรูปจะเต็มแล้ว^^ ก็มารับอาหารกายกันบ้างครับ ป้าเมตตาและสามีจึงพาพวกผมมาทานข้าวมันไก่เบตง เป็นมื้อเที่ยงครับ ข้าวมันไก่เบตงนี้มีความแตกต่างจากข้าวมันไก่ที่อื่นตรงที่ สายพันธุ์ของไก่ที่นำมาทำนี่ล่ะครับ เพราะใช้ไก่เบตงซึ่งสืบเชื้อสายมาจากไก่กวางไส ของประเทศจีน ที่มีเนื้อนุ่มละมุนลิ้น ไม่เหนียว เคี้ยวแล้วไม่ติดฟันครับ มาถึงเบตงแล้วต้องลองครับ ของเขาดีจริงๆครับ  

บรรยากาศภายในร้านข้าวมันไก่เบตง

ได้กลิ่นอายความเป็นเมืองจีนดีครับ^^

นี่ล่ะครับหน้าตาของข้าวมันไก่เบตง

      ค่าเสียหายจานละ 40 บาทครับ เพิ่มเนื้อไก่ล้วนอีกตกจานละประมาณ 100 บาทครับ ทานกันจนพุงกางเลยครับ น้ำจิ้มก็กลมกล่ม น้ำซุบยิ่งรสเด็ด ถ้ามาแล้วแนะนำให้ลองครับ ทำเลร้านอยู่เลยศาลาประชาคมมาประมาณ 200 เมตรครับ ร้านอยู่ฝั่งขาเข้าเมืองเบตงครับ
      จัดการกับอาหารกายเรียบร้อยแล้วจึงทำการขอบคุณป้าเมตตาและสามี แล้วพวกผมจึงแยกย้ายกันที่ร้านข้าวมันไก่เบตงแห่งนี้ครับ จากนั้นจึงกลับไปรวมพลที่บ้านของป้าสวยและลุงหล่อเพื่อจัดกระเป๋า และเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองยะลาครับ เวลาประมาณ 13 นาฬิกา 30 นาที ล้อรถของคุณแม่ก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านของป้าสวยและลุงหล่อ ทุกคนโบกมือบ้ายบายกันด้วยความยินดี เหลือไว้เพียงแต่ความทรงจำดีดีตลอด 2 วัน 1 คืนที่ เบตง เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดนแห่งนี้ครับ ปีหน้าฟ้าใหม่พวกผมต้องหาโอกาสมาเบตงอีกแน่!
ถนนหนทางในเมืองเบตงที่ไล่ตามระดับความสูงของภูเขาเป็นเอกลักษณ์

บริเวณย่านการค้ากลางเมืองเบตง ในช่วงบ่ายครับ

      ระหว่างทางกลับยะลา ในช่วงตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตงนั้น มีกลุ่มชาวบ้านทำไม้กวาดขายครับ สองข้างทางในแถบนี้มีร้านไม้กวาดเล็กๆเรียงรายอยู่สัก 6-7 ร้านได้ครับ ไม้กวาดที่เป็นงานฝีมือแบบนี้ ใช้ได้ทนทาน และคุณภาพดีครับ คุณยายของผมจึงแวะซื้อไป 2 อันครับ (ลักษณนามของไม้กวาดใช้อันนะครับ ไม่ใช่ด้าม ข้อมูลจาก:ราชบัณฑิตยสภา) ค่าเสียหายตกอันละ 50 บาทครับ

โฉมหน้าของไม้กวาดงานหัตถกรรม

แม่ค้ากำลังทำไม้กวาดสดๆเลยครับ

      ออกจากเขตอำเภอเบตงมาได้สักพักหมู่เมฆคิวมูโลนิมบัสก็ก่อตัวขึ้นเต็มท้องฟ้าจนมืดมิดไปหมดเลยครับ เป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะมา ก่อนหน้านี้ผมได้ดูพยากรณ์อากาศมาในช่วงเช้าบอกว่าฝนจะตกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เพราะช่วงเช้าฟ้ายังเปิดอยู่เลย เป็นธรรมดาของภาคใต้ครับโดยเฉพาะในเขตป่าดงดิบที่มีความชื้นในอากาศสูงแบบนี้ ฝนจะเทมาตอนไหนก็ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย พวกผมแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อน้ำ ซื้อขนมมาทานบนรถที่จุดพักรถได้สักพักพอขึ้นรถปุ๊บ ฝนก็เทลงมาอย่างหนักเลยครับ โชคดีที่เลยเขตที่โค้งเยอะมาแล้วทำให้คลายกังวลเรื่องดินโคลนถล่มได้บ้าง แต่ฝนก็ยังเป็นอุปสรรคต่อถนนสองเลนแถมยังคดเคี้ยวไปตามหุบเขาแบบนี้อยู่ดี การเดินทางจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าตลอดทางครับ ด้วยเหตุนี้กว่าจะมาถึงเมืองยะลาก็ปาไป 16 นาฬิกาแล้วครับ ในเมืองยะลาก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนเช่นกัน โชคดีที่กว่าพวกผมจะมาถึงฝนก็หยุดแล้ว แต่พอตกเย็นก็ตกต่ออีกปรอยๆ เมื่อมาถึงผมจึงรีบขึ้นไปเก็บผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่ก่อนไปเบตงที่ระเบียงชั้นสองอย่างเร่งรีบครับ โชคดีที่ผ้าไม่เปียกรอดไปที ^_^
      เสียงร้องเพลงโนห์ราที่คุ้นเคยของคุณทวดกลับมาทำให้ผมสนุกปนเวียนหัวอีกครั้งครับ ด้วยฝนที่ตกมายาวนานทำให้วันนั้นคุณทวดอดได้ไปเดินเล่นครับ แกพูดว่า ไป ไป ไป ไป อยู่นาน จนลูกสาวของคุณทวดใจอ่อนต้องพาแกมานั่งรถชมเมืองเล่นแทนจนได้
      ในรุ่งเช้าของวันที่ 16 เมษายน ผมจะต้องเดินทางกลับจังหวัดสมุทรสงครามแล้วครับ หลังจากทานอาหารเย็น และดูละครหลังข่าวช่องสามสีจนพอใจแล้ว ผมจึงรีบขึ้นมาจัดกระเป๋าและเตรียมชุดตัวเก่งสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วจึงนอนหลับอย่างตื่นเต้น การเดินทางอันยาวไกลกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง!

สายฝนที่เทกระหน่ำลงมา ระหว่างข้ามสะพานข้ามป่าบาลา-ฮาลาครับ

เช้าตรู่วันที่ 16 เมษายน 2559: ผมรีบแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่ จัดการกับกิจวัตรยามเช้า แล้วจึงมาทานอาหารเช้าครับ เป็นไก่เบตงที่เหลือมาจากเมื่อวาน ^^ ทานเสร็จจึงไปโอบกอดร่ำลาคุณยาย และคุณน้า รวมถึงคุณทวด และหลานของคุณทวด ตรวจสอบสัมภาระอย่างรอบคอบว่าจะไม่ลืมอะไรไว้แน่ๆ และไม่ลืมที่จะตรวจดูหม้อน้ำรถครับ เข็ดแล้วจริงๆ^^ ไว้ปิดเทอมหน้าผม คุณแม่ และน้องชาย รวมถึงคุณพ่อของผมจะมาเยี่ยมเยียนยะลา และเบตงอีกแน่นอนครับ มัตตะเนะ ยะลา See you again, Yala-Betong,the multicultural city.

บังเกอร์กันระเบิดในเขตถนนรวมมิตร ที่มีประชาชนมาวาดภาพสวยงามจนดูแปลกใหม่ สวยงาม และมีสีสันครับ

Street Art เมืองยะลา ดีดีนี่เองครับ

ทานตะวันก็มาครับ ^^

ย่านตลาดเช้าเมืองยะลา บริเวณถนนรวมมิตรครับ ข้าวเหนียวไก่หรอยจังฮู้นิ ลองต่ะ

      เวลา 7 นาฬิกา 30 นาที รถของคุณแม่ก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านครับ มีผมนั่งข้างหน้าข้างคนขับ และมีน้องชายของผมมานั่งตักกับผมด้วย ตลอดเส้นทางขากลับช่วงยะลา - อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช นี่รถไม่มากขับได้สบายๆครับ พอช่วงอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี-อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นี่รถติดยาวนานมาราธอนมากครับ เข้าเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาก็บ่ายนิดๆแล้วครับ กว่าจะเข้าเขตอำเภอละแม จังหวัดชุมพรได้ก็เวลา 16 นาฬิกาเข้าไปแล้ว รถติดเป็นระยะๆครับขับได้ตั้งแต่ 20 -80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามความหนาแน่นของรถ ตลอดข้างทางเขตอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีทุเรียนวางขายเรียงรายอยู่สองข้างทางแต่น่าเสียดายที่รถมากมายเสียจนจอดแวะซื้อไม่ได้ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการขับรถมาเป็นเวลานาน คุณแม่จึงแวะจอดพักรถ และเดินยืดเส้นยืดกันสายที่สวนนายดำ อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพรครับ  สวนนายดำเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีผู้คนมาจอดแวะเที่ยวเยอะครับ ภายในก็มีสวนส้มโชกุน สวนลำไยและผลไม้ท้องถิ่นอื่นๆแต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือการจัดแต่งสถานที่ของที่นี่ที่มีอุจจาระเป็นจุดขายครับ ห้องน้ำที่นี่ก็มีดีไซน์ที่แปลกตาไม่ซ้ำใคร ถ้าท่านมีโอกาสได้มาที่จังหวัดชุมพร ขากลับอย่าลืมมาแวะชมห้องน้ำแปลกๆที่นี่นะครับ แม้แต่ม้านั่งยังเป็นรูปก้อนอุจจาระเลยครับยอมเขาจริงๆ^^ นอกจากสวนผลไม้แล้วยังมีโซนร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่มีกาแฟขี้ชะมดเป็นเมนูแนะนำ สนนราคาแก้วละ 400 กว่าบาท! ร้านขายของที่ระลึก อาทิ ไข่เค็มไชยา ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่างๆ แต่ถ้าธรรมดาเกินไปขอแนะนำพวงกุญแจรูปอุจจาระครับ สามารถซื้อหาไปฝาก หรือไปแกล้งเพื่อนๆที่รักของท่านกันได้ ^^

ม้านั่งที่สวนนายดำครับ ยอมแล้วจริงๆ 55555

บริเวณร้านกาแฟ ที่สวนนายดำครับ

      ยืดเส้นยืดสายที่สวนนายดำกันพอประมาณ ก็ได้เวลาอันสมควรไปเผชิญหน้ากับความจริงที่รถติดหนักครับ การจราจรหลังจากออกจากสวนนายดำไม่ดีขึ้นเลย ซ้ำยังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆกว่าจะเข้าเขตอำเภอเมืองชุมพร พระอาทิตย์ก็ตกดินเสียแล้ว กว่าพวกผมจะได้ทานอาหารเย็นกันก็เกือบ 20 นาฬิกา โดยทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเลข 7 ภายในปั๊มสีฟ้าแห่งหนึ่งในเขตอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เพราะทนความแออัดของผู้คนที่แย่งกันซื้ออาหารข้างนอกไม่ไหว รถที่มาจอดต้องจอดกันซ้อนคันเป็น 3-4 ชั้นเลยครับ ยอมเลยครับขับรถช่วงเทศกาล จากที่คำนวณไว้ว่าจะถึงแม่กลองประมาณ 22 นาฬิกากลับกลายเป็นว่าเวลาล่วงเลยมาถึง 20 นาฬิกาแล้วยังไม่ออกจากเขตจังหวัดชุมพรเลย

บรรยากาศปั๊มน้ำมันที่พวกผมแวะทานอาหารเย็นกันครับ

       ออกจากปั๊มน้ำมันมาได้หลังจากที่วนอยู่นานรถราก็บางตาลงแล้วครับ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นไปตลอดทางครับเพราะเมื่อเข้าเขตอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รถก็กลับมาติดแหง็กอีกครั้ง ขณะนั้นก็เวลา 22 นาฬิกา 30 นาทีแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่ารถจะซาลงเลย อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่รถบรรทุกวิ่งบนท้องถนนเป็นจำนวนมากยิ่งซ้ำเติมให้รถติดมากขึ้นไปอีก เหลือบมองไปที่ถนนฝั่งขาล่องใต้ รถแทบไม่มีเลยครับ 55555 คลานมาตามถนนอยู่นานในที่สุดเวลา 24 นาฬิกา พวกผมก็มาถึงอำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้วครับ! ถ้ารถไม่ติดนี่ถึงแม่กลองตั้งแต่ 22 นาฬิกาแล้วครับ 55555 คุณแม่เริ่มเกิดความกังวลเพราะมีนัดแต่งหน้าให้ลูกค้าเวลา 4 นาฬิกา กลัวจะไปถึงไม่ทัน คุณแม่จึงโทรไปแจ้งลูกค้า โชคดีที่ลูกค้าหาช่างแต่งหน้าแทนได้จึงไม่เป็นปัญหา สบายใจได้หนึ่งเปาะ! แต่หลังจากขับรถมานานกว่า 17 ชั่วโมง! คุณแม่ก็เริ่มเมื่อยล้าจึงจอดรถนอนพักที่ปั๊มใหญ่แห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ แต่นอนไม่หลับครับเพราะแสงไฟจากร้านสะดวกซื้อเปิดสว่างตลอดทั้งคืน คุณแม่จึงทนขับรถต่อไปเพื่อหาห้องพักราคาย่อมเยา และปลอดภัยแทน ประกอบกับเที่ยงคืนแล้วรถก็เริ่มซาลงเพราะคนเริ่มจอดนอนพักรถกันหมดแล้วเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ห้องพักต่างๆห้องเต็มครับ โอ้! คุณพระช่วย!!!

เช้ามืดวันที่ 17 เมษายน 2559: เมื่อเข้าเขตอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาแล้ว รถก็บางตาลงมาก จนแทบไม่มีรถบนถนนเลยครับ ผิดกับเมื่อสองชั่วโมงก่อนมาก คุณแม่ตั้งใจว่าจะหาห้องพักที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะถ้านอนที่นี่ขับไปอีกนิดเดียวก็ถึง จังหวัดสมุทรสงครามแล้ว แต่เมื่อไปถึงอำเภอหัวหิน คุณแม่ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน เพราะกลัวที่พักในเมืองท่องเที่ยวจะมีราคาสูง อีกทั้งพักเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องออกเดินทางต่อแล้ว คุณแม่จึงตัดสินใจเดินหน้าต่อครับ ซึ่งผมเห็นด้วย สภาพถนนในเมืองหัวหิน ตอนเช้ามืดเวลา 2 นาฬิกาแบบนี้ ถนนไม่มีรถเลยครับ คุณแม่ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่าๆ เวลา 3 นาฬิกานิดๆ ก็มาถึงบ้านของผมที่ จังหวัดสมุทรสงครามแล้วครับ (ทำลายสถิติกันเลยทีเดียว555)  เป็นการเดินทางที่อ่อนเพลียเมื่อยล้าเป็นอย่างมากครับ 20 ชั่วโมง บนท้องถนน!!! แต่เจ้า โยคี แมวจรจัดที่มาขอพึ่งพิงที่บ้านของผมก็ทำให้หายเหนื่อยครับ เพราะมันทันทีที่ผมไขกุญแจประตูรั้วบ้าน พี่แกก็วิ่งกรูเข้ามาหาผมแล้วร้องเมี้ยว เมี้ยวเลยครับ ไม่เจอกัน 6 วัน เจ้าโยคีจะคิดถึงผมบ้างไหมนะ? ^^ เมื่อมาถึงพวกผมจึงไม่รีรอทิ้งสัมภาระไว้ในรถแล้วขึ้นมานอนในทันทีครับ ค่อยมาขนขึ้นตอนเช้าแล้วกัน 5555 ขอนอนก่อนด้วยความอ่อนเพลีย

เจ้าโยคี ฝากมาทักทายผู้อ่านทุกท่านด้วยครับ เมี้ยว เมี้ยว^^

      ***สำหรับทริปยะลา-เบตงล่องใต้สุดสยามของผมก็ขอจบลงไว้ที่เอนทรี่นี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันเสมอมาและขอโทษที่ดองไว้นานมาก ใครที่อ่านแล้วเกิดความรู้สึกอยากมาเที่ยวที่ยะลา และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ถือว่าบล๊อกผมประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วครับ ส่วนเนื้อหาตรงไหนที่ควรปรับปรุงก็ติชมผมได้นะครับ ขอบคุณที่ติดตามกันมาเสมอ ไม่ทิ้งผมไปไหน แล้วพบกันใหม่ในเอนทรี่เรื่องอื่นๆครับ สวัสดีครับ
SOLSAMA

Related Articles

0 comments:

Post a Comment