Monday, 11 June 2018

SAMA'S Story : ตะลอนเมืองลาว (EP.2) พาชมแม่น้ำโขง กินไข่กระทะ หลงทางที่เวียงจันทน์


     สวัสดีทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้ง วันนี้จะพาไปชมเมืองหนองคาย รับประทานอาหารเช้า และพาข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่ง สปป.ลาว และเที่ยวชมนครหลวงเวียงจันทน์กันครับ  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร และจะพาไปเยี่ยมชมที่ใดบ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเลยครับ!


หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถคลิกกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เพื่อความต่อเนื่อง!

************************************************************************************
*EP.1 เดินทางสู่หนองคายด้วยรถไฟที่เต็มไปด้วยมหาชน

******************************************
******************************************



DAY-1 วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์)

        หลังจากโทรไปบอกที่บ้านเสร็จสรรพว่ามาถึงหนองคายและ ไปเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟหลังจากไม่ได้เข้าบนรถไฟมาทั้งคืน T_T แล้ว จึงเริ่มทำตามแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางคือจะไปกินไข่กระทะ ร้านทานตะวัน ร้านดังกลางเมืองหนองคายที่เคยหาข้อมูลไว้เป็นอาหารเช้า ก่อนที่จะข้ามไปฝั่งลาว "เอ~ ว่าแต่มันไปทางไหน ผมไม่เคยมาหนองคายเสียด้วย?" ไม่ยากเลยครับขอเพียงโทรศัพท์คุณมีอินเทอร์เน็ต Google maps ก็ช่วยชีวิตคุณได้โขเลย (ถ้าโทรศัพท์ใครไม่ได้สมัครเน็ตไว้อย่าลืมศึกษาเส้นทางดี ๆ ก่อนออกเดินทางนะครับ จะได้เดินทางได้อย่างราบรื่นและไม่เสียเวลา :) ) 
         
        สำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองหนองคายวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุดคือใช้บริการรถสกายแลป หรือรถสามล้อเครื่องนั่นเอง ในเมืองหนองคายมีราคามาตรฐานกำหนดเอาไว้ว่าจากจุดนี้ไปจุดที่ต้องการราคาเท่าไร หากใครถูกคิดราคาเกินกว่าที่ป้ายกำหนดก็สามารถใช้สิทธิ์ของตนเองเรียกร้องได้เลยครับ สำหรับตัวผมนั้นขอใช้วิธีเดินเท้าแล้วกัน เพราะไม่เคยมาหนองคายมาก่อนเลยอยากเดินชมเมืองให้เต็มที่ เมืองหนองคายเป็นเมืองเล็ก ๆ มีลักษณะเมืองเป็นแนวยาวเลียบฝั่งแม่น้ำโขง สามารถเดินเที่ยวได้สบาย ๆ หากอากาศเป็นใจ 

จากสถานีรถไฟไปร้านทานตะวันระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ ๔๕ นาที
สถานีรถไฟหนองคายยามเช้า  สงสัยมาจองตั๋วขากลับกันแน่ ๆ
แม้จะยังเช้าตรู่แต่ผู้โดยสารก็มีหนาตา บางส่วนก็มารับญาติพี่น้อง 
ถ่ายไว้เสียหน่อย เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึงหนองคาย ๕๕๕ 

         เมื่อฝ่าฝูงชนและบรรดารถสกายแลปที่มาห้อมล้อมคอยมาเสนอให้ใช้บริการพาเที่ยวราวกับตัวผมเป็นซูเปอร์สตาร์ได้แล้ว จึงเดินออกมาทางหน้าสถานีรถไฟแล้วเดินไปตามเส้นทางที่ Google maps บอก จากหน้าสถานีรถไฟเดินตรงไปประมาณ ๕๐ เมตร จะเจอซอยเล็ก ๆ มีป้ายใหญ่ ๆ เขียนว่า "หนองคาย รีสอร์ต" ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปแล้วเดินตรงไปประมาณ ๗๐๐ เมตร ระหว่างทางก็ได้พบกับสิ่งที่กลัวที่สุดในการเดินทางคือสุนัขครับ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือไว้มันเห่าก็ทำเดินไปเฉย ๆ เหมือนไม่ได้ยิน ยิ่งช่วงนั้นพิษสุนัขบ้ากำลังระบาดด้วยยอมรับตามตรงว่ากลัวครับ ๕๕๕ พอเดินไปจนสุดซอยจะไปบรรจบกับถนนมิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒) ให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป ป้ายจราจรบางป้ายในเมืองหนองคายมีภาษาลาวปะปนอยู่ด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าใกล้ประเทศลาวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอีกนัยหนึ่งแสดงว่าสองประเทศนี้มีการไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องปกติจนต้องมีป้ายคอยอำนวยความสะดวก :)

อาคารสถานีรถไฟหนองคาย 
ออกจากสถานีรถไฟเดินตรงไปประมาณ ๕๐ เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอหนองคายรีสอร์ต 
จากหนองคายรีสอร์ตก็เดินตรงมาเรื่อย ๆ ระวังสุนัขให้ดีล่ะ ดุใช้ได้เลย !
โผล่มาที่ถนนมิตรภาพ เจอป้ายที่มีภาษาลาวกำกับด้วย
      เมืองหนองคายในยามเช้าเงียบสงบและอากาศดีมาก มีผู้คนมาวิ่งออกกำลังกาย บ้างก็จูงสุนัขมาเดินด้วย สำหรับเด็กมหาวิทยาลัยที่ทุก ๆ วันตื่นเช้ามาทำภารกิจส่วนตัว แล้วมุ่งหน้าสู่ตึกเรียนทันทีแล้วถือเป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าใดนัก รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก เหลือบดูมองเวลาแล้วเพิ่งเจ็ดโมงเช้า ยังมีเวลาอีกนาน เพราะตั้งใจไว้ว่าจะข้ามไปลาวก่อนเที่ยง 

  

        จากถนนมิตรภาพเดินตรงไปประมาณ ๕๐๐ เมตร ผ่านโรงแรมรอยัลนาครา แล้วจะเจอสี่แยกให้เดินข้ามทางม้าลายไปอีกฝั่งถนน แล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒๐๐ เมตร ทางซ้ายมือจะเจอซอยที่มีชื่อว่าประจักษ์ศิลปาคมตามด้วยหมายเลข ๒ ๔ ๖ จะเข้าซอยไหนก็ได้เพราะไปทะลุถนนประจักษ์ศิลปาคมทั้งหมด ส่วนตัวผมขอเลือกซอยที่ไม่มีสุนัขดุแล้วกันเลยเลือกเดินเลี้ยวซ้ายเข้าซอยประจักษ์ศิลปาคม ๖ ไป ซอยนี้มีขนาดค่อนข้างกว้าง มีบ้านเรือนหนาแน่น ผู้คนขวักไขว่ เดินได้สบายใจหมดกังวลเรื่องสุนัข  :D



        หนองคายถือเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรล้านช้าง เพราะตั้งอยู่ใกล้กับนครหลวงเวียงจันทน์ ทำให้เวลามีสงครามได้เกิดการเทครัวขึ้นหลายครั้งส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่มีทั้งคนญวณ ไทพวน ไทลื้อ ไทอีสาน เวียดนามที่อพยพเข้ามาตอนสงครามอินโดจีน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเดินไปพบกับสมาคมชาวไทยเชื้อสายเวียดนามโดยบังเอิญ คล้ายกับสมาคมแต้จิ๋ว สมาคมฮากกา ที่เบตงไม่มีผิด วัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างเห็นได้ชัดคงจะเป็นอาหารเพราะหากพูดถึงอาหารที่ขึ้นชื่อของหนองคายที่คนภายนอกนึกถึงทุกวันนี้ก็คงจะเป็น แหนมเนือง และไข่กระทะอย่างไม่ต้องสงสัย เรียกได้ว่าที่หนองคายวัฒนธรรมจากที่ต่าง ๆ ได้ถูกผสมกลมกลืนให้เข้ากันได้อย่างลงตัว



 เดินตรงไปจะเจอโรงแรมรอยัลนาครา ที่เห็นลิบ ๆ คือสี่แยก

 เลี้ยวเข้ามาในซอยประจักษ์ศิลปาคม ๖ แล้ว
 สมาคมชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม

        เดินตรงไปในซอยประจักษ์ศิลปาคม ๖ ประมาณ ๕๐๐ เมตรจะเจอสี่แยกที่บรรจบกับถนนประจักษ์ศิลปาคมพอดีให้เลี้ยวขวาแล้วย่างซื่อ ๆ (เดินตรงไป) ๕๕๕ ทางซ้ายมือจะเจอที่ทำการองค์การโทรศัพท์สีฟ้าตั้งเด่นเป็นสง่า ตรงไปอีกประมาณ ๕๐๐ เมตรด้านขวามือจะพบศาลากลางจังหวัดหลังโตสีขาวเด่น ตรงไปอีกนิดจะพบที่ทำการเทศบาลเมืองหนองคายด้านซ้ายมือ  ตรงไปอีกประมาณ ๖๐๐ เมตรจะเจอร้านทานตะวันอยู่ทางซ้ายมือเป็นอาคารพาณิชย์อยู่ริมถนน  ร้านเปิดตั้งแต่ ๖ โมงเช้า แต่ ! แต่ ! แต่ !เนื่องจากวันนี้วันสงกรานต์ทางร้านติดป้ายว่างดทำเมนูไข่กระทะชั่วคราว T_T แห้วอีกแล้ว ไม่เป็นไรงั้นเปลี่ยนแผนไปเดินเล่นที่ท่าเสด็จแล้วกัน เผื่อจะเจอของกินที่น่าสนใจ วิธีไปก็ไม่ยากเลยครับมีป้ายบอกตลอดทาง เดินไปประมาณ ๑ กิโลเมตร จากร้านทานตะวัน

 สี่แยกที่บรรจบกับถนนประจักษ์ศิลปาคม 
 มาถูกทางแล้วไม่ผิดแน่
 องค์การโทรศัพท์สีสวยเชียว
 ศาลากลางจังหวัดหนองคาย
ป้ายที่ทำการเทศบาลเมืองหนองคาย
ร้านขายเสื้อผ้าตรงข้ามที่ทำการเทศบาล สวยแปลกตาดี

        ระหว่างเดินไปตลาดท่าเสด็จก็เจอสุนัขเห่าทักทายอีกครั้ง ครั้งนี้ชินแล้วทำอะไรกับความอยากเดินไปเที่ยวไม่ได้อีกต่อไป ระหว่างทางได้เดินผ่านวัดสำคัญของเมืองหนองคาย ๒ วัดคือ วัดศรีษะเกษและวัดศรีเมือง ซึ่งทั้งสองวัดเป็นวัดเก่าแก่อยู่คู่เมืองหนองคายมานาน วัดศรีษะเกษเดิมมีชื่อว่าวัดนาค สร้างโดยเจ้าเมืองหนองคาย ชือพระยาวุฒาธิคุณ ต่อมาหลังเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ แม่ทัพใหญ่เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้สั่งอพยพชาวเวียงจันทน์ให้มาอยู่อีกฟากของแม่น้ำโขงเพื่อยุบเวียงจันทน์ แต่ชาวเวียงจันทน์ได้นำชื่อวัดสำคัญในเวียงจันทน์มาด้วย เช่น วัดสีสะเกด จึงเรียกวัดนาคว่าวัดศรีษะเกษในเวลาต่อมา 
        
        เดินผ่านวัดศรีษะเกษเดินเข้าซอยชุมชนศรีษะเกษ-ศรีเมือง เริ่มเห็นพระสงฆ์ออกมาเดินบิณฑบาต เห็นพ่อใหญ่ แม่ใหญ่ พร้อมลูกหลานในชุดสีสันสวยงามแห่แหนกันมาตักบาตร ทำบุญ ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทย ขณะเดียวกันก็ได้เห็นอาคารสไตล์จีนแปลกตาตั้งอยู่ประปรายก่อนทางเข้าวัดศรีเมือง 

        วัดศรีเมือง วัดที่มีสิม (โบสถ์) แบบล้านช้าง แม้ปัจจุบันจะได้รับการบูรณะใหม่โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบภาคกลาง แต่ก็ยังคงรูปแบบของล้านช้างเอาไว้ตรงวันแล่น และปราสาทที่ประดับบนสันหลังคา 

        ทางไปตลาดท่าเสด็จต้องเดินตัดผ่านวัดศรีเมืองไป แวบแรกที่เห็นวัดศรีเมืองคือสิม (โบสถ์) สวยโดดเด่นมาก แม้ปัจจุบันจะไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบล้านช้างทั้งหมดแล้วแต่ก็ยังคงงดงาม และแฝงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้ภายใน ชื่นชมความงามวัดศรีเมืองสักพักแล้วเดินต่อไปไม่เกิน ๒๐๐ ก้าวก็ถึงแล้ว ตลาดท่าเสด็จ จุดเด่นคือตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำโขง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแม่น้ำโขงด้วยตาจริง ๆ จากที่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน นี่น่ะหรือ แม่น้ำที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัยที่จีน ไหลผ่านพม่า ลาว ไทย กัมพูชา และไหลลงทะเลจีนใต้ที่ตอนใต้ของเวียดนาม แม่น้ำที่มีความยาวเป็นอันดับ ๑๒ ของโลก ยาวกว่า ๔,๓๕๐ กิโลเมตร ตอนนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ทำหน้าที่เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างลาว และไทย พอนึกได้แบบนั้นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้ง และอัศจรรย์ในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาชื่นชม :)

        ขณะนี้เวลา ๘ นาฬิกาเสียงตามสายเปิดเพลงชาติแล้ว แต่บรรยากาศในตลาดท่าเสด็จยังคงเงียบเหงา มีร้านค้าเปิดประปราย สงสัยคงเพราะเป็นวันหยุดสงกรานต์ หรือยังไม่ถึงเวลาตลาดเปิด จึงทำได้เพียงไปชื่นชมและถ่ายรูปแม่น้ำโขง ดูวิถีชีวิตริมฝั่ง เห็นเรือของชาวบ้านแล่นไปมา แม่น้ำโขงกว้างใหญ่มากจริง ๆ และไม่ลืมทอดสายตามองไปที่ฝั่งประเทศลาว นั่นน่ะหรือต่างประเทศ ความรู้สึกอัศจรรย์ใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง ระคนกับความรู้สึกหิวที่แทรกเข้ามาเป็นระยะ

 วัดศรีษะเกษ
 ชุมชนศรีษะเกษ-ศรีเมือง
 อาคารแบบจีน ในเมืองหนองคาย
 สิม หรืออุโบสถ วัดศรีเมือง บนสันหลังคาจะเห็นปราสาทเป็นลักษณะศิลปะแบบล้านช้าง
 วัดศรีเมือง
 ถึงแล้วท่าเสด็จ เห็นแม่น้ำโขงไหม?
 ฝั่งตรงข้ามคือ ประเทศลาว
 สายหมอกจาง ๆ ปกคลุมแม่โขง ยามเช้า
 ออเจ้าตามมาถึง หนองคาย
 ถึงท่าเสด็จ จริง ๆ
 เรือกลางแม่โขง
 ยิ่งใหญ่จริง ๆ 
แดงแหนมเนือง แหนมเนืองเจ้าดังแห่งเมืองหนองคาย

        เมื่อรู้สึกหิวจนทนไม่ไหวแล้วจึงตัดสินใจเดินไปหาอะไรกินที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วข้ามไปฝั่งประเทศลาวเลยแล้วกัน เปิด Google maps บอกว่าระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตร โหดใช่เล่นแฮะ แต่เอาไงเอากัน จึงเดินตามที่ Google maps บอก ณ ตอนนี้แสงแดดเริ่มสาดส่อง อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มไหล ความหิว กับความเมื่อยล้าเริ่มมาครอบงำแล้ว

        เดินมาทะลุซอยมีชัยเจอกับวัดศรีชมชื่น วัดนี้ไม่รู้ประวัติความเป็นมาแต่เห็นน่าสนใจดีจึงลืมความหิว และความเมื่อยชั่วครู่แล้วเดินเข้าไปสำรวจ พบว่าให้กลิ่นอายความเป็นล้านช้าง บรรยากาศวัดเงียบสงบแต่อุโบสถยังไม่เปิด คงจะเตรียมงานสงกรานต์อยู่ จึงยืนชมสักพักและออกเดินทางต่อ เดินไปได้สักพักเหมือนสวรรค์สงสารคนหิว เดินไปเจอร้านไข่กระทะจนได้ ชื่อว่าร้านจีนซาน ไข่กระทะ จึงเดินเข้าไปสั่งอาหารเช้าโดยไม่ลังเล บรรยากาศร้านสะอาด สะอ้าน มีลูกค้าทานหนาตา ที่ร้านมีขายไข่กระทะ ข้าวเปียก ขนมปังทาแยมรูปทรงคล้ายขนมปังฝรั่งเศส ชา กาแฟ จึงสั่งไข่กระทะ และโกโก้ร้อนมากินคลายความเมื่อย และหิว ค่าเสียหาย ไข่กระทะ ๓๐ บาท โกโก้ร้อน ๓๕ บาทเท่านั้น !


 วัดศรีชมชื่น
 ภายในวัดศรีชมชื่น
มาแล้วอาหารที่สั่ง ไข่กระทะ กับโกโก้ร้อน มีบริการน้ำชาฟรีด้วย 

หน้าร้านจีนซาน ไข่กระทะ

        หลังอิ่มท้องแล้วจึงมุ่งหน้าสู่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว  อีกครั้ง แต่ดูเหมือนสมองจะเริ่มสั่งการทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าสามารถไปลาวได้ โดยนั่งรถทัวร์จากสถานีขนส่งหนองคายได้ ไปถึงใจกลางเมืองเวียงจันทน์โดยไม่ต้องต่อรถสองต่อ แถมเมื่อดู  Google maps แล้วใช้ระยะทางเพียง ๑ กิโลกว่า ๆ เท่านั้น จึงเปลี่ยนแผนเดินมุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งหนองคายแทนทันที 

        การเดินทางไปสถานีขนส่งใช้เส้นทางเดียวกับไปร้านทานตะวันเลย คือใช้ถนนประจักษ์ศิลปาคมตรงไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเริ่มเห็นร้านค้าต่าง ๆ ตั้งเต๊นท์พร้อมแทงก์น้ำเตรียมเล่นน้ำสงกรานต์กันแล้ว เด็ก ๆ เริ่มเล่นน้ำในสระน้ำเป่าลมหัวเราะกันสนุกสนาน เดินผ่านร้านทานตะวันให้ช้ำใจกันอีกครั้งไว้คราวหน้าจะมากินไข่กระทะให้ได้ ! ไปประมาณ ๗๐๐ เมตรจะเจอธนาคารทหารไทยทางซ้ายมือ ให้เลี้ยวขวาตรงข้ามธนาคารทหารไทย เดินไปสัก ๕๐ ก้าวจะพบสถานีขนส่งตั้งอยู่ทางซ้ายมือ

ใกล้กว่าไปสะพานมิตรภาพเห็น ๆ 
 สองข้างทางเริ่มตั้งเต๊นท์กันแล้ว
 แทงก์น้ำเตรียมเล่นสงกรานต์
 เห็นธนาคารทหารไทยลิบ ๆ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว
 เดินเลี้ยวขวาเข้าซอยมาเลย
ถึงแล้วสถานีขนส่ง หนองคาย

        มาถึงสถานีขนส่งแล้ว ว่าแต่ตั๋วไปลาวซื้อตรงไหน? ไม่ต้องกังวลไปครับเดินเข้ามาก็เจอ เลยช่องขายตั๋วแรกจะมีป้ายตัวโต ๆ เขียนว่า จำหน่ายตั๋วโดยสารระหว่างประเทศ มีรถไปเวียงจันทน์วันละ ๔ เที่ยว จะผลัดกันวิ่งระหว่างรถของไทย และรถของลาว ค่าโดยสารเที่ยวละ ๕๕ บาท เสียค่าดำเนินการอีก ๕ บาท รวมเป็น ๖๐ บาท ตอนซื้อตั๋วต้องยื่นพาสปอร์ต หรือบัตรผ่านแดนด้วยนะครับ ขณะนี้เวลา ๙ โมง แต่รถจะออกเวลา ๙ โมงครึ่ง รถยังไม่มาเลย ผู้โดยสารมีทั้งชาวไทย ชาวลาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติ บรรยากาศที่สถานีขนส่งค่อนข้างคึกคักคงเป็นเพราะอยู่ในช่วงเทสกาล 

        ๙ โมง ๒๘ นาทีในที่สุดรถก็มาจอดเทียบชานชาลา ในตั๋วโดยสารเป็นแบบระบุที่นั่งเพราะฉะนั้นต้องนั่งตามที่นั่งนะครับ เที่ยวนี้ได้รถของประเทศลาวดังนั้นคนขับ หรือพนักงานบนรถจะเป็นคนลาวทั้งหมด เมื่อขึ้นมาบนรถสิ่งที่จะได้รับคือใบขาเข้า และขาออกประเทศลาว พกปากกามาจะดีมาก กรอกเอาไว้เลยจะได้ไม่เสียเวลาตอนผ่านด่าน ถือเป็นโชคดีอีกครั้งที่ได้นั่งที่นั่งริมหน้าต่างทำให้ได้ชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างเต็มที่ การจราจรค่อนข้างบางตา ชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งข้าง ๆ เมื่อเห็นผมกรอกใบขาเข้าออก อย่างขะมักขเม้น จึงเริ่มมีการสนทนาเกิดขึ้น 

"น้องช่วยพี่กรอกเลขพาสปอร์ตได้ไหมครับ พี่ไม่ได้ใส่แว่นมองไม่เห็น?" ชายวัยกลางคนขอความช่วยเหลือ
"ได้ครับ" ผมตอบ พร้อมขอใบขาเข้าออก ของชายวัยกลางคนมากรอก
 "น้องเคยไปลาวมาก่อนหรือเปล่า" ชายวัยกลางคนถาม
 "ไม่เคยไปครับ นี่เป็นครั้งแรก" ผมตอบ
 "โห เก่งจัง มาคนเดียวด้วย" ชายวัยกลางคนทำน้ำเสียงตกใจ

        คนต่างวัยทั้งคู่เริ่มคุยกันสัพเพเหระ ถามถึงจุดหมายปลายทางที่จะไป และจุดประสงค์ของการไปลาว ทำให้ทราบว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นชาวลำปาง สนใจมาทำธุรกิจที่เวียงจันทน์ จึงลองมาสำรวจตลาดดูก่อน เพิ่งมาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน คุยกันไปได้สักพักรถก็หยุดสนิทที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปผ่านด่านขาออก สำหรับผู้ถือพาสปอร์ตไทยสามารถนำพาสปอร์ตไปแสกนแล้วผ่านด่าน ไปตรวจสัมภาระได้เลย นับว่าสะดวกรวดเร็วมาก เมื่อผ่านด่านเสร็จแล้วก็ขึ้นไปรอบนรถคันเดิมที่นั่งมา (จำเลขทะเบียนรถให้ดีล่ะ) แอบกลัวเหมือนกันว่าจะผ่านด่านออกมาไม่ได้ เพราะเป็นครั้งแรกเลยมีความกังวลแฝงอยู่ นี่ตัวเรากำลังออกมานอกประเทศไทยแล้วนะ  ความรู้สึกตื่นเต้นเริ่มครอบงำ :)

        เมื่อผู้โดยสารผ่านด่านขาออกขึ้นมาบนรถกันครบทุกคนแล้ว รถจึงเคลื่อนตัวออกจากด่านไทยแล้วค่อย ๆ ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว  ทันทีที่รถวิ่งผ่านจุดกึ่งกลางของสะพานเท่ากับว่าตัวเราได้เข้าสู่เขตประเทศลาวแล้ว ป้ายข้างทางเริ่มมีอักขระที่แปลกตาไป สัญญาณโทรศัพท์ที่อ่อนลง เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าบัดนี้สองเท้าเราได้ก้าวเข้ามาอยู่ในดินแดนใหม่ที่ไม่คุ้นเคยแล้ว...

       นั่งรถไปประมาณ ๕ นาทีรถก็มาหยุดกึกที่ด่านตม. ประเทศลาว เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปผ่านตม. ขั้นตอนก็ไม่ซับซ้อนคือยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ประทับ เดินไปซื้อบัตรเข้าประเทศลาวราคา ๕ บาท (ใช้เงินบาทได้) แล้วเดินเข้าเครื่องแสกนคล้ายตอนเสียบบัตรขึ้นรถไฟฟ้าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่ในวันเทศกาลเช่นนี้คนย่อมมีมหาศาลทำให้เกิดความสับสนได้ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งมาครั้งแรกแบบผม ทำให้ไปทำงก ๆ เงิ่น ๆ แต่เจ้าหน้าที่ ตม. ก็ใจดีมาก และคอยอำนวยความสะดวกให้จนในที่สุดก็เข้าประเทศลาวมาได้สำเร็จ เย่ จากการสังเกตในช่วงที่มีคนมหาศาลเช่นนี้ทำให้เกิดอาชีพใหม่คือ Easy Pass สำหรับผู้ที่ไม่อยากต่อคิวรอปั้มพาสปอร์ตนาน จะมีคนคอยมาถามว่ารีบไหม ถ้าตอบว่ารีบเขาจะขอพร้อมพาสปอร์ตของเราพร้อมค่าบริการ ๔๐ บาทวิ่งลัดคิวไปให้เจ้าหน้าที่ปั้ม และนำกลับมาให้เราอย่างรวดเร็ว ก็ดูเหมือนจะดีแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าไม่มีบริการนี้คิวที่ต่อยาว ๆ แบบปกติจะเร็วขึ้นหรือเปล่า เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ต้องคอยมาปั้มให้คนที่ใช้บริการพิเศษนี้  

        สิ่งต่อมาที่ทำหลังจากผ่าน ตม.ลาว มาได้แล้วคือไปแลกเงินกีบ แม้จะเคยได้ยินเสียงลือว่าอยู่ที่ลาวใช้เงินบาทได้ แต่ก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าใช้เงินกีบจะได้กำไรมากกว่าเงินบาท ไหน ๆ ก็มาต่างประเทศแล้วก็เลยตัดสินใจเดินตรงไปร้านสีเขียวฝั่งซ้ายมือแล้วแลกเงินทันที แลกไป ๒,๕๐๐ บาท ได้มา ๖๖๗,๐๐๐ กีบ อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ ๑ บาท เท่ากับ ๒๖๔ กีบ จึงถือว่าได้กำไรมาก เพราะปกติจะอยู่ที่ ๑ บาท เท่ากับ ๒๕๐ กีบ รู้สึกรวยขึ้นมาทันที จับเงินเกินครึ่งแสนครั้งแรกในชีวิต!!!  

        ที่ด่านตม. ลาว มีร้านแลกเงินหลายร้าน แต่แนะนำให้ไปแลกที่ร้านสีเขียวดีกว่า ถ้าแลกที่ธนาคารสีส้มจะต้องกรอกเอกสารและแถวยาวมาก 

 ที่ซื้อตั๋วรถทัวร์ไปประเทศลาว
 บรรยากาศที่สถานีขนส่งหนองคาย โย่ ชินอิจิคุง โอฮาโยว!
 รถโดยสารระหว่างประเทศที่จะพาไปเวียงจันทน์
 กำลังจะออกนอกประเทศแล้ว
 ตั๋วโดยสารและพาสปอร์ตที่ไม่ว่างเปล่าแล้ว !!!
 บรรยากาศในรถโดยสารระหว่างลงไปด่าน ตม. ลาว
บรรยากาศด่านตม. ลาว ในวันสงกรานต์ รูปที่ต่างประเทศรูปแรกในชีวิต :)

      เมื่อแลกเงินกีบเสร็จแล้วจึงเดินมาขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ หนองคายกับเวียงจันทน์ห่างกันประมาณ ๒๕ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าใช้เวลาที่ ตม.นานแค่ไหน ทิศทางการขับรถที่ต่างจากของไทย เพราะลาวใช้พวงมาลัยซ้าย วิวทิวทัศน์ข้างทางที่เปลี่ยนจากทุ่งนาเป็นอาคารพาณิชย์กระจุกหนาแน่น การจราจรที่เริ่มติดขัดเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว เวียงจันทน์ที่คิดกับเวียงจันทน์ที่เห็นจริง ๆ นั้นแตกต่างกันมาก แม้จะหาข้อมูลมามาก แต่พอเห็นด้วยตาจริงก็พบว่าต่างจากที่คิดอยู่ดี ความแตกต่างที่ว่าคือคิดว่าเวียงจันทน์จะเงียบกว่านี้ แต่สิ่งที่เห็นคือมีรถราเต็มท้องถนน  บ้านเรือนไม่น่าจะหนาแน่น แต่ภาพที่เห็นคือบ้านเรือนกระจุกกันหนาแน่น เรียกได้ว่ามีความเป็นเมืองเฉกเช่นหัวเมืองทั่วไปเลยทีเดียว นี่คือความคิดแรกที่คิดเมื่อเห็นเวียงจันทน์ นึกถึงคำพูดที่ว่าการท่องเที่ยวคือการได้เปิดโลกจริง ๆ

        ไม่นานนักรถก็มาจอดเทียบท่าที่สถานีขนส่งตลาดเช้า ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ ทันทีที่เดินออกจากรถความรู้สึกที่ว่าเหมือนเป็นซูเปอร์สตาร์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ยิ่งหว่าที่หน้าสถานีรถไฟหนองคายเสียอีก 

"เช่ารถบ่อ้าย" คนขับสกายแลปทักทายกันอย่างพร้อมเพียง
"บ่" ผมตอบอย่างมั่นใจ แล้วเดินจากไป

        แผนของผมก็คือไปเดินหาโรงแรมที่จองไว้ใน Agoda แล้วเดินไปกินอาหารกลางวันที่ร้านเฝอแซบ ร้านเฝอชื่อดังกลางนครหลวงเวียงจันทน์ ว่าแต่มันไปทางไหนกัน? ถึงจะแคปภาพแผนที่ตอนที่มีเน็ตไว้แล้วก็เถอะ แต่ข้อเสียใหญ่หลวงของเวียงจันทน์คือ บางแยกไม่มีชื่อถนนบอกทำให้หลงทิศทางได้หากไม่คุ้นเส้นทาง  ผมเองก็เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบย่านตลาดเช้าจนในที่สุดก็เริ่มจับเส้นทางได้ และเจอถนนสามแสนไทถนนที่ตั้งของโรงแรมได้สำเร็จ จากแผนที่ที่เซฟไว้ใช้ระยะทางแค่ ๘๐๐ เมตร เย่  ระหว่างทางไปโรงแรมก็พบศูนย์การค้าใหญ่กลางเมืองเวียงจันทร์ชื่อ เวียงจันทน์เซ็นเตอร์ คาดว่าคงจะเป็นฝีมือของนักลงทุนจีนเป็นแน่  รอบตลาดเช้าเต็มไปด้วยร้านขายข้าวจี่ ขนมปังฝรั่งเศสใส่ใส้ต่าง ๆ บางร้านก็เรียกแซนด์วิช บางร้านก็ขายดอกไม้ไหว้พระ เครื่องบายศรี พอข้ามถนนตรงแยกตลาดเช้าจะเจอถนนล้านช้าง ถนนสายหลักของนครหลวงเวียงจันทน์ หันไปทางขวาจะเจอประตูไซ ตื่นเต้นมากในที่สุดก็มาเห็นได้ด้วยตาตัวเอง แต่ก็ต้องข่มไว้แล้วเดินหน้าหาโรงแรมต่อ ระหว่างทางก็พบธนาคารของประเทศไทยทั้ง กสิกร กรุงเทพ กรุงไทย มาตั้งสาขาในเวียงจันทน์ด้วย รู้สึกว่าอยู่ไม่ห่างจากบ้านเลย เดินเรื่อย ๆ ทางขวามือจะเจอธาตุดำ ตามที่เคยอ่านรีวิวไว้ เรามาไม่ผิดทางแน่ สองข้างทางถนนสามแสนไทเต็มไปด้วยบ้านเรือน และร้านค้า น่าจะเป็นถนนสายสำคัญอีกสายหนึ่งของเวียงจันทน์เพราะมีที่ทำการราชการหลายแห่ง เดินเลยธาตุดำมาหนึ่งบล๊อกในที่สุดก็เจอป้ายชี้ไปน้ำพุ เดินเลี้ยวซ้ายจะเจอย่านที่เต็มไปด้วยโรงแรมในที่สุดก็หาโรงแรมที่จองเจอ แต่ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เพิ่ง ๑๑ โมงครึ่ง เลยเดินไปร้านเฝอแซบกินอาหารกลางวันเติมพลังกันก่อน พอจับจุดทิศทางในเวียงจันทน์ได้แล้วการเดินไปร้านเฝอแซบก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

        แม้จะเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน แต่ที่เวียงจันทน์ไม่พบว่ามีการเล่นน้ำสงกรานต์เลย ต่างจากฝั่งไทย เดินไปเรื่อย ๆ ผ่านศูนย์บริจาคเลือดในที่สุดก็เจอจุดที่เล่นน้ำเสียที แต่ก็เล่นกันแค่จุดเดียว และดูเหมือนกำลังมีงานเลี้ยงฉลองสงกรานต์กันอยู่เสียงดนตรีหมอลำดังอึกทึกคึกโครม ทั้งเพลงลาว เพลงไทย ทำให้เข้าใจว่าคำว่า ดนตรีไม่มีพรมแดนมากขึ้น :)

        เดินมาสักพักท่ามกลางแดดตอนเที่ยงที่ร้อนระอุในที่สุดก็พาร่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านเฝอแซบแล้ว แต่ แต่ แต่อีกแล้ว ร้านปิดสงกรานต์! อดกินร้านที่หมายมั่นจะมากินถึงสองร้านในวันเดียวกัน ทั้งทานตะวัน ทั้งเฝอแซบ ขณะที่กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อดีก็นึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างทางไปร้านเฝอแซบเจอร้านเฝอเล็ก ๆ ร้านหนึ่งน่าสนใจเหมือนกัน จึงเดินย้อนกลับไปทางไปโรงแรม และสั่งเฝอไก่พร้อมน้ำ ๑ ขวด ที่ร้านเป็นร้านแบบทั่ว ๆ ไป แบบที่ชาวเวียงจันทน์จริง ๆ มากิน จึงไม่แปลกนักถ้าจะไม่มีป้ายราคาติด ในใจก็แอบหวั่น ๆ เล็กน้อยว่าจะต้องเสียกี่กีบ แต่รสชาติของเฝอที่กลมกล่อมกำลังดี ไม่เค็ม ไม่เผ็ดจนเกินไป และน้ำแข็งเย็น ๆ ก็ทำให้อิ่มกาย และอิ่มใจขึ้นได้

"เท่าใดครับ?" ผมถามคนขายพยายามออกสำเนียงเป็นลาว 
"สิปแปดพันห้าร้อยกีบลูก" ป้าคนขายพูดด้วยเสียงเนิบ ๆ
ผมได้ยินดังนั้นรู้สึกช็อกมากจึงหยิบแบงก์ หมื่นกีบออกมา
"บ่ใช่ หยิบออกมาอีกแปดพันห้าร้อยกีบลูก เดี๋ยวแม่นับให้" ป้าคนขายพูดอย่างใจดี
ผมยิ้มแล้วรำพันกับตัวเองในใจ อ๋อ ๑๘,๕๐๐ กีบ
"ขอบใจเด้อ" ป้าคนขายพูด ก่อนที่ผมจะเดินออกจากร้านไป

        หลังจากกินข้าวกลางวันด้วยความประทับใจเสร็จแล้ว มื้อแรกที่ต่างแดนเลยนะ เราทำได้แล้ว เก่งมาก แล้วจึงเดินกลับโรงแรมทางเดิม แต่เลือกเดินอีกฝั่งถนนชมตึกรามอาคารในเวียงจันทน์ พบเจอทั้งโรงแรมหรูแบบบูติก อาคารสไตล์อาณานิคม อาคารแบบจีน เกสต์เฮาส์ โฮสเตล และร้านอาหาร ชมบ้านชมเมืองไปสักพัก เวลาเกือบบ่ายโมงก็มาหยุดอยู่หน้าโรงแรมมะลิน้ำพุ ซึ่งเป็นโรงแรมที่จองไว้ ใจก็กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่ค่อยมีประสบการณ์นอนโรงแรมเท่าไร เอาน่าไม่ได้มาขอนอนฟรี หน้าโรงแรมมีพนักงานหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วอยู่ ๑ คน เลยเดินไปบอกว่า เช็คอินครับ เขาจึงรีบพาไปที่โถงรับรองทันที พนักงานสาวหน้าคมขำทักทายด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว พร้อมบริการ Welcome Drink เป็นน้ำพั้นซ์รสอร่อย หลังจากยื่นเอกสารการจองเรียบร้อย จึงถามเธอเรื่องรถไปวังเวียงวันพรุ่งนี้เพราะที่โรงแรมมีบริการจองรถ และผมมีแผนจะไปวังเวียงอยู่แล้ว

"Oh! I'm really sorry, sir. Tomorrow is a big holiday so the tickets to VangViang have been sold out." พนักงานสาวตอบพลางทำหน้าหงอย

        เอาไงดีทีนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแนะนำให้ลองไปหาตั๋วที่สถานีขนส่งสายเหนือดูเผื่อยังมี พร้อมทั้งแนะนำบริการต่าง ๆ ที่สามารถใช้ได้ในโรงแรม ก่อนจะอวยพรว่า Enjoy your stay ก่อนที่จะยื่นกุญแจห้องซึ่งเป็นระบบคีย์การ์ดให้ และมอบหมายให้พนักงานหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วนำทางไปที่ห้อง พนักงานหนุ่มแนะนำโซนต่าง ๆ ของโรงแรม และวิธีการรับอาหารเช้าด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว จนเกือบจะเดินถึงห้องพัก...

"Where are you from?" พนักงานหนุ่มถาม
"I'm from Thailand." ผมตอบอย่างอาย ๆ เพราะรู้ว่าคนลาวรู้ภาษาไทยอยู่แล้วจึงอาย (ใช้ภาษาอังกฤษกันมาตั้งนาน)
"อ้าว คนไทยหรอครับ?" พนักงานหนุ่มทำน้ำเสียงตกใจ
นี่เราดูเหมือนคนชาติอะไรงั้นรึ? ผมนึกสงสัยในใจ ๕๕๕

       พนักงานหนุ่มแนะนำวิธีเปิดปิดห้อง และไฟฟ้าในห้องก่อนจะอวยพรแล้วเดินจากไป ห้องนอนแคบกว่าที่คิดแต่ก็นอนสบายมาก แอร์เย็น ที่นอนนุ่ม ห้องน้ำสะอาด แถมน้ำดื่มกินฟรีด้วย ผมเลยขอชาร์ตแบตโทรศัพท์ และไม่ลืมเชื่อมต่อไวไฟโรงแรมและโพสต์บอกโซเชียลว่าอยู่ลาวแล้ว เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น และคิดว่าจะเอายังไงดีกับทริปวังเวียงพรุ่งนี้ จะไปสายเหนือก็บ่ายมากแล้ว หรือจะกลับไทยดีแล้วเที่ยวหนองคายอีกสักวัน คิดไปคิดมาจึงคิดได้ว่างั้นอยู่เวียงจันทน์ต่ออีกวันแล้วกันจะได้ไม่ต้องรีบเที่ยว พอดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเห็นเพจนั่งรถไฟกับนายแฮมมึน ไปเวียงจันทน์แล้วนอนที่โฮสเทลชื่อสายลมเย็น พี่แฮมรีวิวไว้ว่าราคาประหยัด สะอาด ฟรีอาหารเช้า จึงเปิดดูราคาในอโกด้าทันที โอ้ ยังมีเตียงว่างและราคาเพียง ๒๘๐ บาทเท่านั้น แถมยังได้ส่วนลดจากอโกด้าอีกทำให้จ่ายไปแค่ ๒๔๓ บาท พรุ่งนี้รอดแล้วเรา พอโล่งใจเรื่องพรุ่งนี้เสร็จจึงขอนอนงีบตากแอร์เอาแรงสัก ๓ ชั่วโมงครึ่งเสียหน่อย ฝากปลุกด้วยนะเจ้านาฬิกาปลุก...



 การจราจรย่านตลาดเช้า นครหลวงเวียงจันทน์
 เป็นรถจากญี่ปุ่น ถึงว่าพวงมาลัยอยู่ทางขวา
 แผนผังรถเมล์ประจำทางใน นครหลวงเวียงจันทน์
 ชาวสกายแลปที่มาห้อมล้อมผู้โดยสารที่กำลังลงจากรถ
 ห้างเวียงจันทน์เซ็นเตอร์
 ร้านดอกไม้ไหว้พระ ย่านตลาดเช้า
 ทุนจีนมาทุกที่
 ร้านวิวาห์ ณ นครหลวงเวียงจันทน์
ลองทายสิครับว่า แปลว่าอะไร?
โรงแรมที่จองผ่าน อโกด้า นอนหนึ่งคืน พรุ่งนี้มีแผนไปนอนวังเวียง
เส้นทางจากตลาดเช้าไปโรงแรมมะลิน้ำพุ

จากมะลิน้ำพุไปร้านเฝอแซบ

 ถนนสามแสนไท
 สี่แยกถนนล้านช้าง เห็นประตูไซลิบ ๆ
 ป้ายสะบายดีปีใหม่
 ธนาคารกรุงเทพ
 ร้านอาหารครัวลาว
อาคารสวย ๆ บนถนนสามแสนไท
 เบียร์ลาว
 ที่นี่เมืองจีน
 ตู้ไปรษณีย์ ณ นครหลวงเวียงจันทน์
พาสาลาวเอิ้นว่า หีบหย่อนจดหมาย เด้อ
 สาวลาวนุ่งผ้าซิ่นข้ามถนน
 เห็นป้ายมะลิน้ำพุสีเหลือง ๆ นั่นไหม ถึงแล้ว เย่
 ย่านน้ำพุ เต็มไปด้วยที่พัก
 ที่บริจาคเลือดกำลังจัดงานสงกรานต์กันสนุกสนาน
 เลี้ยวขวาไปเฝอแซบโลด
 ถึงแล้ว อ้าว ปิด TmT
 ชายสี่ก็มีนะครับ
 มาแล้ว เฝอไก่ฮ้อน ๆ
 อ่านว่าหยัง?
 หน้าร้านเฝอที่ไปกินมา
 น้ำพุเลี้ยวซ้ายโลด
 ร่มรื่น
 โรงแรมหรูบูติก ณ นครหลวงเวียงจันทน์
 ที่บริจาคเลือด งานเลี้ยงคงยังไม่เลิก
 ร้านอาหาร
 โรงแรมสไตล์โมเดิร์น
 ภาษาจีนนั้นสำคัญไฉน
 สี่แยกน้ำพุ
 เศรษฐีชั่วข้ามวัน
โฮสเทลคืนละ ๒๔๓ บาทเท่านั้น เจอกันพรุ่งนี้
ที่มะลิน้ำพุ สระว่ายน้ำก็มีนะครับ

        เอนทรี่นี้เนื้อหาและภาพเยอะมากจึงขอตัดเนื้อหาเอาไปเล่าอีกในเอนทรี่หน้า  ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและหวังว่าบล๊อกของผมจะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมาออกเดินทางกันนะครับ แล้วพบกันใหม่เอนทรี่หน้าจะพาไปตระเวนราตรีที่เวียงจันทน์กันครับ ห้ามพลาด!


สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง (ครึ่งแรก) (วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑)


ค่าเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ ๓ บาท

น้ำดื่ม                               ๑๔ บาท

ไข่กระทะ                          ๓๐ บาท
โกโก้                                 ๓๕ บาท
รถทัวร์ไปเวียงจันทน์         ๖๐ บาท
บัตรผ่านแดนตม. ลาว         ๕ บาท

เฝอและน้ำดื่ม            ๑๘,๕๐๐ กีบ (๗๐ บาท)
สายลมเย็นโฮสเทล    ๒๔๓.๐๑ บาท



รวม ๔๖๐.๐๑ บาท

Related Articles

0 comments:

Post a Comment