Tuesday, 26 April 2016

SAMA'S Story:พาล่องใต้! [EP.3 ทริปแสวงบุญ ในวันแดดแรง แต่ศรัทธาแรงกว่า!]


      สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับ กลับมาพบกับผมอีกเช่นเคย เอนทรี่นี้อาจออกแนวทริปแสวงบุญเล็กน้อย (5555) แต่ผมหวังว่าหลังจากที่ท่านอ่านเอนทรี่นี้จบ ท่านจะรู้สึกเย็นกายสบายจิตไปไม่มากก็น้อย เอาล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตามผมมาทำบุญกันเลยดีกว่า ไปกันเลยย!!!


วันที่ 12 เมษายน 2559: เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวนานทำให้วันนี้ผมตื่นสาย เวลาเคารพธงชาติพอดี (ปกติก็ตื่นไม่เช้านะ 555) วันที่สองของการอยู่ยะลา ผมเริ่มต้นมื้อเช้าด้วยข้าวยำปักษ์ใต้ หรือตามภาษามลายูถิ่นเรียกว่า "นาซิกาบู" ซึ่งคำว่า "นาซิ" แปลว่า "ข้าว" "กาบู" แปลว่า "ยำ " รวมกันเป็น "ข้าวยำ " (5555)
      หลังจากอาหารมื้อเช้า ผมจึงมาใส่บาตรหน้าบ้านกับคุณแม่ พระที่ยะลาออกบิณฑบาตสายๆ (7 นาฬิกา - 8 นาฬิกา 30 นาที) เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวภิกษุและพุทธศาสนิกชนที่มาใส่บาตรนั่นเอง หลังจากใส่บาตรเสร็จคุณยายซึ่งขี่รถเครื่อง(รถจักรยานยนต์)ออกไปข้างนอกก็กลับมา แต่คุณยายไม่ได้กลับมาคนเดียวครับ  คุณยายมาพร้อมกับ หลานสาวของคุณทวด (ทำงานอยู่กรุงเทพฯ) ซึ่งได้โอกาสหยุดยาวในช่วงสงกรานต์มาช่วยคุณยายดูแลทวด การมาของหลานสาวของคุณทวดนำสิ่งดีๆมาให้ผมครับ ตั้งแต่แรกคุณแม่วางแพลนไว้ว่าจะไปทำธุระที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ในวันที่ 14-15 เมษายนนี้ คนเดียว นั่นทำให้ผมและน้องชายต้องอยู่เฝ้าทวดกับคุณน้าและคุณยาย แต่การมาของหลานสาวของคุณทวดทำให้ คุณยาย คุณน้า ผม และน้องชายได้โอกาสไปเที่ยวเบตง กับคุณแม่ด้วย เย่!!! :D
     นั่นเป็นเพียงโชคชั้นที่ 1 เท่านั้น ยังมีแจ๊คพอตชั้นที่ 2 อีก การมาของหลานสาวของคุณทวดทำให้คุณยายมีเวลาว่างครับ ทำให้ตอนบ่ายพวกเราวางแพลนจะไปไหว้พระขอพรเสริมศิริมงคลที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี (เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิฐาน ปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จะใช้บริเวณนั้นสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้มคำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า "วัดช้างไห้" แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก)
      การเดินทางจากเมืองยะลาไปวัดช้างให้ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีเท่านั้น ออกจากเขตจังหวัดยะลามานิดเดียวก็ถึงแล้ว ถ้าพร้อมแล้วเรามาชมภาพบรรยากาศวัดช้างให้ ในช่วงสงกรานต์กันว่าจะคึกคักขนาดไหน ตามมาเลย!!! 


เริ่มออกเดินทางจากถนนที่บ้านครับ (บอกเพื่อ?555)

ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา ถนนพิพิธภักดีครับ

การจราจรในเมืองยะลาวันนี้ค่อนข้างบางตาครับ สงสัยเตรียมตัวเล่นสงกรานต์ (555)

แดดแรงไหมครับ?
ถนนสิโรรส ถนนสายหลักอีกสายของเมืองยะลา


ตามถนนสายหลักในเมืองยะลา รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ จะต้องจอดรถริมเกาะกลางถนน เพื่อที่ว่าจะได้ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเวลาเกิดคาร์บอมบ์ !
ออกจากตัวเมืองยะลามานิดเดียวก็จะผ่าน "สะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี" (แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนทั้งจังหวัดปัตตานี และยะลา มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และไหลลงอ่าวไทย ที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีความยาวทั้งสิ้น 214 กิโลเมตร)

ออกจากเขตเมืองยะลาก็จะพบกับทิวทัศน์สีเขียวแบบนี้ครับ

มีสวนยางพาราแซมอยู่ประปราย

เข้าเขตเทศบาลตำบลลำใหม่ อำภอเมือง จังหวัดยะลาครับ เป็นเมืองเล็กๆครับ บ้านไม้แถวนี้ดูคลาสสิคดี

ร้านขายข้าวแกงครับ ^^ ตึกไม้ดูแปลกตาดี
ออกจากลำใหม่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็ถึงแล้วครับ วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวักปัตตานี ป้ายหน้าวัดบูรณะใหม่ดูดีมีเอกลักษณ์เชียว
โอ้โห!!! ช้างเต็มไปหมดเลยยยย

      หลังจากหาที่จอดรถราเสร็จสรรพแล้วพวกเราก็เดินข้ามทางรถไฟเพื่อจะเข้าวัดกัน วันนั้นอากาศร้อน และแดดก็แรงมากครับ ถ่ายรูปกันทีจากไม่มีเชื้อจีนก็กลายเป็นจีนกันหมดเลยครับ แต่ละรูปตาหยีตาตี่กันถ้วนหน้า (555) บริเวณวัดช้างให้จะเต็มไปด้วยเสียงดังกึกก้องของปะทัดที่เหล่าบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ได้บรรลุผลจากการบนบานต่างๆนานา จึงมาจุดปะทัดแก้บนกันดังอื้ออึง ระหว่างชมรูปปั้นช้างสวยงามอยู่หน้าวัดก็มีพี่ผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาบอกวิธีลอดท้องช้างเพื่อเสริมสิริมงคลชีวิตอย่างครบถ้วนกระบวนการเป็นภาษาใต้ พวกเราทั้งหมดก็ทำตามอย่างว่าง่ายครับ ขณะที่กำลังลอดท้องช้างตามขั้นตอนที่พี่เขาบอก ผมก็นึกเอะใจอะไรได้บางอย่าง แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงครับ นั่นล่ะฮะท่านผู้อ่าน (555) พอลอดเสร็จพี่แกก็บอกประมาณว่าช่วยผมทำบุญหน่อยครับ พร้อมกล่าวอวยพร นึกในใจ "ตูว่าแล้ววว 555" แต่ก็เอาเถอะครับ ถือว่าพี่เขามาแนะนำสิ่งดีๆให้กับพวกเรา :) วันนั้นวัดช้างให้คับคั่งไปด้วยศาสนิกชนที่ร่วมใจกันมาสรงน้ำหลวงปู่ทวด และพระพุทธรูป กันอย่างคึกคักครับ ศาสนิกชนต่างมาวัดแห่งนี้ด้วยความศรัทธากันอย่างไม่ขาดสาย นี่ถ้าเหตุการณ์สงบกว่านี้คงคึกคักยิ่งกว่านี้อีก :) ผมก็ได้แต่ภาวนาขอบารมีหลวงปู่ทวดให้ช่วยปกป้องคุ้มครองประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคนให้ร่มเย็นเป็นสุข  และขอให้ความสันติกลับคืนมาสู่ผืนแผ่นดินปลายด้ามขวามแห่งนี้โดยไว เอาล่ะครับ มาชมภาพบรรยากาศวัดช้างให้ในช่วงวันสงกรานต์กันดีกว่า !!
รูปปั้นช้างที่พวกผมลอดกันครับ ^^

เหล่าพุทธศาสนิกชนครับ
ทราบมาว่าบางท่านเดินทางมาจากภูมิภาคอื่นๆด้วย บางท่านมาไกลจากอีสานเลยทีเดียว!
สรงน้ำหลวงปู่ทวดครับ
ป้ายบนประตูหน้าวัดครับ


สถานีรถไฟอยู่เลยประตูวัดไปนิดเดียวครับ ทำอาคารใหม่สวยขึ้นมากเลย




       หลังจากที่อิ่มบุญจากการไหว้หลวงปู่ทวด และขอพรเสริมศิริมงคลกันแล้ว พวกเราก็วางแผนจะไปไหว้พระพุทธไสยาสน์ ที่วัดถ้ำคูหาภิมุข ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมือง จังหวัดยะลากันต่อครับ “วัดคูหาภิมุข” หรือ “วัดหน้าถ้ำ” ตั้งอยู่เลขที่ 136 หมู่ 1 บ้านหน้าถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา  วัดแห่งนี้เป็นวัดที่สำคัญของเมืองยะลา มีพิพิธภัณฑ์ศรีวิชัย เก็บวัตถุโบราณที่ได้มาจากวัดถ้ำ ภูเขากำปั่น พระพิมพ์ดินดิบ สถูปเม็ดพระศก อิฐฐานพระพุทธรูป เป็นต้น โดยในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม มีการเปลี่ยนชื่อจาก “วัดหน้าถ้ำ” เป็น “วัดคูหาภิมุข” ภายในวัดคูหาภิมุขมีถ้ำใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ ภายในถ้ำยังมีหินงอกหินย้อย และน้ำใสสะอาดไหลรินจากโขดหิน
      ความเป็นมา ย้อนกลับไปสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยายะหริ่งมาสร้างเมืองยะลา ตั้งที่ว่าราชการ ณ บ้านท่าสาป ตำบลท่าสาป และได้มีการสร้างวัดขึ้นที่ริมเขาหน้าถ้ำ ที่มีพระพุทธไสยาสน์ภายในถ้ำ คูหาภิมุข  โดยพระพุทธไสยาสน์ ที่อยู่ในถ้ำ เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ปั้นด้วยดินเหนียวโดยใช้ไม่ไผ่เป็นโครง สร้างขึ้นสมัยศรีวิชัยรุ่งเรืองราว พ.ศ.1300 หรือสมัยเดียวกับพระบรมธาตุเมืองนคร มีขนาดความยาว 81 ฟุต 1 นิ้ว
      วัดคูหาภิมุข มีพระพุทธรูปสมัยศรีวิชัย สมัยสุโขทัย สมัยอู่ทอง ใกล้ๆ กับวัดมีภูเขากำปั่นเป็นภูเขาหินอ่อนสีชมพู สวยงามมาก ปัจจุบัน รัฐบาลได้ให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนทำหินอ่อนจำหน่าย หินอ่อนสีชมพูจากยะลามีความสวยงาม มีชื่อเสียงระดับประเทศ
      พิกัดทางภูมิศาสตร์ของวัดคูหาภิมุขตำบลหน้าถ้ำ  ระบุว่า เคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบร่องรอยศาสนสถาน เมืองโบราณ ซึ่งเป็นศาสนสถานที่พบเทวรูปสำริด กำแพงเมือง พระพิมพ์ดินดิบแบบทวารวดีศรีวิชัย ภาพเขียนสีพระพุทธรูปฉาย ภาพเขียนสีราชรถมีสัตว์เทียม มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 15-17  นักโบราณคดีได้พบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์บริเวณถ้ำคูหาภิมุข เป็นภาพพระพุทธฉาย และภาพราชรถแกะสลักไว้บนหน้าผา ภายในบริเวณถ้ำคูหาภิมุข (ข้อมูลจาก: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
      วัดหน้าถ้ำ หรือ วัดคูหาภิมุขนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองยะลาเพียง 10 กิโลเมตร โดยใช้ถนนสาย 409 (ยะลา-บ้านเนียง)
      ออกจากวัดช้างให้ได้ไม่นานพวกเราก็มาถึงปากซอยทางเข้าวัดหน้าถ้ำครับ เนื่องจากว่าวันนั้นทางวัดกำลังเตรียมจัดสถานที่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานทำบุญวันสงกรานต์ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันถัดมา ทำให้ผู้คนในวันนั้นค่อนข้างน้อยครับ บริเวณวัดถ้ำมีฝูงลิงกังใต้เล็กๆอาศัยอยู่ด้วย มีคนเอากล้วยไปให้มันบ้างจึงทำให้มันคุ้นเคยกับมนุษย์ ผมสามารถเข้าไปถ่ายรูปมันได้ใกล้ๆโดยที่มันไม่ตกใจกลัว ลิงฝูงนี้น่ารักมากครับดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี หรือเพราะอากาศร้อนก็ไม่ทราบได้ (5555) การจะเข้าไปชมพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปครับ แต่ไม่ต้องกลัวครับ ภูเขาที่นี่ไม่สูงมากและมีบันไดให้ขึ้นไปครับสบายใจได้ (555) เมื่อเดินขึ้นบันไดไปสักพักจะเจอรูปปั้นยักษ์ยืนเฝ้าบันไดอยู่ ไม่ต้องกลัวนะครับ ถ้าเรามีเจตนามาเพื่อไหว้พระนอน ยักษ์จะเปิดทางให้เราเองครับ ทำให้เราเดินขึ้นไปเพื่อเข้าถ้ำโดยสวัสดิภาพ ผมคิดอย่างนี้ครับ ^^
       จากอากาศร้อนๆเมื่อเข้ามาในภายในถ้ำอากาศกลับเย็นสบายอย่างไม่น่าเชื่อ มีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากทำให้ได้กลิ่นมูลค้างคาวบ้าง ก่อนที่จะเดินไปถึงพระพุทธไสยาสน์ จะเจอพระพุทธรูปหลายองค์เรียงรายอยู่หน้าถ้ำครับ พระพุทธรูปเหล่านี้มีอายุเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคอาณาจักรศรีวิชัย - สุโขทัยแล้วครับ แต่การที่ได้รับการบูรณะอยู่เสมอ ทำให้สภาพของพระพุทธรูปยังสมบูรณ์ครับ คนสมัยก่อนนี่เก่งจริงๆ เดินเลยพระพุทธรูปมานิดเดียวก็จะเจอพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่อยู่ภายในถ้ำครับ พระพุทธรูปองค์นี้มีอายุประมาณ 1,000 ปีแล้วครับ ผมไม่รอช้ารีบไปกราบท่าน และชื่นชมความงามภายในถ้ำ พลางนึกสงสัยว่าสมัยนั้นเขามาสร้างพระพุทธรูปใหญ่ขนาดนี้ภายในถ้ำได้ยังไงกัน? คงต้องอาศัยแรงศรัทธา และฝีมือเป็นอย่างมาก ก่อนกลับออกจากถ้ำผมก็กราบลาพระพุทธไสยาสน์ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาเยี่ยมเยียนวัดถ้ำคูหาภิมุขแห่งนี้อีกแน่นอน!


ทิวทัศน์ระหว่างทางจากวัดช้างให้ ไปวัดถ้ำครับ

ใช้เวลาประมาณ15 นาทีเท่านั้นก็มาถึง สามแยกบ้านเนียงแล้ว

ถึงแล้วครับ วัดถ้ำคูหาภิมุข

ที่จอดรถร่มรื่นดี มีเต็นท์ผ้าใบมากางเตรียมสำหรับงานบุญวันพรุ่งนี้แล้ว

คนมาค่อนข้างน้อยครับ

มีบึงอยู่ในบริเวณวัดด้วยครับ
เหล่าบรรดาลิงกังใต้ทั้งหลาย

เตรียมตัวไปเข้าถ้ำกัน!!!

แต่ต้องเดินข้ามสะพานข้ามบึงก่อนครับ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ TmT

ดอกราชพฤกษ์กำลังบานเต็มที่ (Full Bloom) เลยครับสวยงามมาก

วิวขณะยืนอยู่บนสะพาน

ถึงบันไดทางขึ้นแล้วครับ แอบเห็นคุณยักษ์ยืนอยู่ลิบๆ

มา!!! อย่าเพิ่งเมื่อยขากันนะครับ นิดเดียวเอง!

ขึ้นมาได้สักพัก ก็เจอบันไดที่มีคุณยักษ์เฝ้าอยู่ครับ

ขออนุญาตเข้าไปในถ้ำนะครับ คุณยักษ์ ขอบคุณครับ^^

ผ่านคุณยักษ์มาแล้ว เดินขึ้นไปอีกนิดเดียวครับ!!!

เอาล่ะ จัดพาโนรามาสักหน่อย เห็นวิวแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย ^^

เข้ามาในถ้ำจะเจอพระพุทธรูปหลายองค์เลยครับ นี่ยังถ่ายมาไม่หมดเลยครับ^^

ในที่สุดก็มาถึง พระพุทธไสยาสน์แล้วครับ แวะไปกราบซะหน่อย!

พันปีก่อน สามารถสร้างพระพุทธรูปได้งดงามขนาดนี้เลยนะครับ! สุดยอดจริงๆ

พระพุทธรูปองค์อื่นๆครับ

เอาล่ะได้เวลาออกจากถ้ำแล้ว กราบลาพระพุทธรูปสักหน่อย เอาบุญมาฝากผู้อ่านทุกคนนะครับ^^

ขาลงสบายๆครับ ชิวๆ 5555
ลงมาเจอเจ้าจ๋อกำลังกินกล้วย ทำไมนิ่งขนาดนั้นลูก เป็นลิงหรือเป็นหิน ^^

แหน่ะ! ไม่ทันขาดคำกลับมาโห้ยโหนโจนทะยานสมเป็นลิงซะแล้ว!

อร่อยไหมลูก ❤

ทำตาอย่างนี้ ต้องการอะไรครับ???

นี่ๆ เกาหลังให้หน่อยจิ

ถ่ายทำไม เค้ากำลังกิน ฮ่วยย! เก๊กซิมมม !!!!

      หลังจากลงมาจากเขาแล้วก็ได้เวลากลับครับ แต่ก่อนกลับต้องจัดน้ำมะพร้าวน้ำหอมสักแก้วดับร้อนเสียหน่ออย แก้วละ 20 บาทอร่อยดีครับ หวานธรรมชาติไม่ใส่น้ำตาล อ่า!!! ชื่นใจจริงๆครับ การมาทำบุญวันนั้นทำให้พวกเรารู้สึกสบายใจมากครับ การทำบุญในแบบของผมอาจจะไม่ใช่การใส่บาตร ไม่ใช่การนั่งฟังเทศน์ ไม่ใช่การอาบน้ำมนต์ หรือแม้แต่การปิดทอง การทำบุญของผมคือการที่ผมมาวัดด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มาโดยการไม่หวังว่าการมาวัดของผมจะได้บุญกลับไปเท่าไร? หรือการที่ผมหยอดตู้ทำบุญค่าดอกไม้ธูปเทียน ผมจะได้บุญกลับไปมากน้อยแค่ไหนจะแปรผันกับจำนวนเงินที่หยอดหรือเปล่า? ผมคิดว่าถ้าเราอยากมาวัด เราก็มาครับ เราอยากใส่บาตรเราก็ใส่ เราอยากฟังเทศน์เราก็ฟัง เราอยากได้น้ำมนต์ หรือเครื่องรางของขลังก็เอาครับ อะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ ทำแล้วไม่ได้ไปคาดหวังว่ามันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นทุกอย่าง ทำแล้วไม่ไปเบียดเบียนใคร ทำแล้วเรารู้สึกร่มเย็นและปิติ ผมว่านั่นคือบุญครับ การที่ผมมาวัดครั้งนั้นทำให้ผมได้แง่คิดอะไรดีๆกลับไปหลายอย่างครับ^^
      ออกจากวัดถ้ำพวกเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านที่เมืองยะลากัน ออกจากหน้าปากซอยทางเข้าวัดถ้ำก็เจอกับพี่ๆทหารตั้งด่านคอยรักษาความปลอดภัยครับ ไม่ว่าเขาจะเต็มใจ หรือไม่เต็มใจมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็ตาม แต่การกระทำของเขานั้นถือว่าน่ายกย่องครับ เขาเสียสละเวลาครอบครัวของตน เพื่อที่มาดูแลสวัสดิภาพของอีกหลายๆครอบครัว ผมว่านี่ก็เป็นการทำบุญอย่างหนึ่งครับ :) ขอบคุณความเสียสละของพี่ๆทหารมากๆเลยครับ

นี่ล่ะครับด่านตรวจ

สู้ๆนะครับ

      อย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ครับ ว่าวัดถ้ำคูหาภิมุข ห่างจากเมืองยะลาเพียงแค่ 10 กิโลเมตรครับ ทำให้เพียงแค่ 8 นาทีพวกเราก็มาโผล่ที่นี่ครับ "ตลาดสดเมืองใหม่" เพื่อมาซื้อวัตถุดิบไว้ทำกับข้าว ถือว่าเป็นตลาดสดตอนเย็นของชาวยะลา มีของขายมากมายทั้งของสด ของแห้ง ผัก ผลไม้ตามฤดูกาล ไปจนถึงเสื้อผ้ามือสองเลยครับ สภาพภายในตลาดนี่รถติดมากๆเลยครับ มาชมภาพบรรยากาศตลาดสดแห่งนี้กันครับ!!!

รถเยอะจริง!!!

ร้อนไหมลูก???

ผลไม้น่ากินทั้งนั้นเลย❤

ดูวุ่นวายเล็กน้อยครับ!

      กว่าจะออกจากตลาดเมืองใหม่มาได้ก็ใช้เวลาพอดูครับ คราวนี้ก็ได้เวลากลับบ้านของจริงแล้วครับ ระหว่างทางกลับบ้านเราได้ผ่านถนนรวมมิตรครับ ซึ่งถือเป็นถนนที่คักคึกที่สุดของยะลาก็ว่าได้ เพราะเต็มไปด้วยของกิน ผับ บาร์ และห้างร้านต่างๆครับ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบมักเกิดที่ถนนเส้นนี้ครับ ทำให้ในปัจจุบันถนนรวมมิตรเงียบเหงาลงมาก และเต็มไปด้วยท่อปูนกันสะเก็ดระเบิดสีทึมๆที่ติดตั้งไปทั่วทั้งถนนสายนี้ครับ เพื่อไม่ให้สภาพถนนที่เคยคราครั่งไปด้วยผู้คนจืดชืด และไร้อารมณ์ ชาวเมืองจึงร่วมใจกันสร้างสรรค์งานศิลปะลงบนท่อปูนเหล่านั้นครับ กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตไปเลยครับ จากถนนที่จืดชืดก็กลายเป็น "Street Art" แห่งยะลาไปเลยครับ อย่างไรก็ดีการจะเข้ามาในถนนสายนี้ได้ ต้องผ่านด่านตรวจที่คุมเข้มทั้ง 4 ทิศทั่วถนนสายนี้เลยครับ ก็ขอให้ความสงบกลับคืนมาสู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไวไวอีกครั้ง ถนนรวมมิตรจะได้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน

ท่อที่ถูกสร้างสรรค์ครับ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง^^

สี่แยกก่อนเข้าบ้านครับ

      เมื่อพวกเรามาถึงบ้านแล้ว คุณแม่ก็ไม่รีรอครับรีบลงรูปทริปแสวงบุญของพวกเราวันนี้ลง Facebook ในบัดดล ส่วนคุณยายก็เตรียมตัวทำกับข้าว คุณทวดก็นั่งเล่นกับหลานสาว ส่วนน้องชายของผมก็เล่นชู๊ตลูกบาสเก็ตบอลกับคุณน้าอีกเช่นเคย ส่วนผมกับแม่จะออกไปตะลุยซื้อข้าวเหนียวไก่ครับ เนื่องจากน้องชายของผมอยากกินมากกกกกกก ผมกับแม่มาหาซื้อข้าวเหนียวไก่ที่ย่านคุรุครับ เป็นอีกย่านหนึ่งที่เป็นแหล่งของกิน และร้านน้ำชาของเมืองยะลา มีผัก ผลไม้ ขนมไทย ร้านสะดวกซื้อ ข้าวแกง ร้านเบเกอรี่ ร้านเนื้อกระทะ และอื่นๆอีกมากมายตั้งอยู่บนย่านนี้ จึงไม่แปลกใจที่ย่านนี้จะดูมีชีวิตชีวามากกว่าย่านอื่นๆในเมืองยะลา "ไก่ชิ้นละเท่าไหร่ครับ?" ผมถามแม่ค้า "น่องนี้ 25 อกไก่ 35  ตับไม้ละ 10" แม่ค้าตอบอย่างคล่องแคล่ว "งั้น เอาอก 1 ชิ้น ข้าวเหนียวห่อนึง" แม่ผมสั่ง หลังจากได้ข้าวเหนียวไก่มาแล้ว แม่ผมก็ไปหาเพื่อนรุ่นพี่ที่เปิดร้านเสริมสวยอีก ทำให้ผมได้ภาพในย่านอื่นๆของเมืองยะลา มาฝากท่านผู้อ่าเพิ่มเติมอีก 5555

สี่แยกไฟแดงในย่านคุรุครับ

บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในย่านคุรุ

ถนนที่เมืองยะลามี 4 ภาษาครับ ไทย อังกฤษ มลายู จีน เนื่องจากในเมืองยะลามีทั้งคนไทย ไทย-มุสลิม และไทย-จีน และอื่นๆ อาศัยอยู่ร่วมกันครับ "สันติสุขจงกลับมาในเร็ววันเทอญ"

ปิดท้ายด้วยย่านหลัง มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลาครับ เป็นย่านที่เต็มไปด้วยร้านน้ำชา กาแฟ และร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไว้บริการนักศึกษาครับ
      เมื่อมาถึงร้านเสริมสวยของพื่อนแม่ สิ่งแรกที่ผมในฐานะที่กำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยมักโดนถามคือ "เรียนต่อที่ไหนล่ะ?" และผมมักจะตอบด้วยคำตอบเดิมๆว่า "รอแอดครับ" เมื่อก่อนตอนที่ผมยังไม่ขึ้นม.6 ผมมักเห็นพวกรุ่นพี่โพสต์สเตตตัสลง Facebook เรื่องที่มักมีคนมาถามว่า เรียนที่ไหน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจ ผมคิดว่าเขามาถามแสดงว่าเขาสนใจเรา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ช่วงหลังๆมานี่ทั้งญาติ ทั้งคนรู้จัก ทั้งเพื่อนๆ ทั้งคนไม่รู้จัก ต่างถามคำถามแบบเดียวกันนี้กับผม ทำให้บางครั้งรู้สึกอายและรู้สึกแย่กับตัวเองที่ยังไม่มีที่เรียนกับเขาสักที ยิ่งบางคนไม่รู้อีกว่าแอดมิชชันคืออะไร ต้องมาอธิบายยาวเลย (5555) แต่หลังจากได้อ่านหนังสือ บทความต่างๆ หรือแม้แต่การได้ดูซีรีส์พระพุทธเจ้าทำให้ผมวางเฉยกับคำถามจำพวกนี้ได้ บางครั้งรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ และดีใจที่มีคนเป็นห่วงผม นี่ผมคาดไว้ว่าหลังจากจบเอนทรี่สุดท้ายของรีวิวยะลา จะมารีวิวแอดมิชชันต่อ (5555)
      หลังจากที่สนทนากันมานานตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ผมและคุณแม่จึงขอตัวกลับบ้านก่อน เนื่องจากตอนค่ำคุณแม่มีงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนสมัยประถม ส่วนผมก็ไปปั่นจักรยานที่โรงเรียนคณะราษฎร์ฯ กับคุณยาย คุณทวด คุณน้า หลานสาวทวด และน้องชายผม ตอนนี้คุณยายสามาถปั่นจักรยานออกกำลังกายอย่างสบายใจได้แล้ว เนื่องจากหลานสาวของทวดได้ทำหน้าที่จูงทวดเดินรอบโรงเรียนแทนแล้ว วันนั้นผมมีโอกาสได้ปั่นจักรยานออกนอกโรงเรียน และปั่นไปตามทางจักรยานในเมืองยะลาด้วย ผมรู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ผมมีความสุขมากๆ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ทานอาหารเย็น ทานอาหารเย็นเสร็จ ก็มาดูละครหลังข่าว ซึ่งปกติเวลาอยู่บ้านที่แม่กลองผมมักใช้เวลากับจอคอมพิวเตอร์ และแยกตัวเองออกจากคนอื่นๆ เช่นเดียวกับพ่อ แม่ และน้องชาย ก็มักจะจดจ่อกับจอ i Pad และโทรศัพท์มือถือ ทำให้แม้ตัวเราอยู่ใกล้กัน แต่ก็เหมือนอยู่ห่างกัน การมายะลาทำให้ได้ใช้เวลาครอบครัวมากขึ้น ได้มานั่งวิจารณ์ตัวละครตัวนู้นตัวนี้ ได้มาเดาว่าบทต่อไปมันจะพูดอะไรก็ได้ความรู้สึกอบอุ่นไปอีกแบบ แม้การดูละครจะไม่ได้สาระอะไรมากแต่ก็ได้ทำให้เราได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกันก็นับว่าเป็นโมเมนท์ดีๆโมเมนท์หนึ่ง ดูละครยังไม่จบ ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำนอนแล้วเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเตรียมตัวไปทำบุญวันสงกรานต์ ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอบคุณที่อยู่ร่วมกันครับ ยินดีต้อนรับสู่ทริปผมครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน ฝันดีครับทุกท่าน :D

EP.หน้าจะพาชมบรรยากาศสงกรานต์ที่เมืองยะลากันครับ ^^




Related Articles

2 comments:

  1. ติดตามบล็อกพี่ซอลมาตลอดเลยค่ะ ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ในอีกแง่มุมของยะลารวมถึงจังหวัดปัตตานีที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถ้าคนอื่นๆส่วนมากที่รู้จักเพียงแค่ผิวเผินรวมถึงเราจะคิดว่าเป็นเมืองน่ากลัว ไม่น่าไปเที่ยว แต่จริงๆแล้วเป็นเมืองที่สวยงามและครั้งหนึ่งในชีวิตก็อยากจะไปเยือนบ้างเหมือนกันค่ะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ถ้าน้องมีพี่เป็นไกด์ น้องจะไม่ต้องกลัวอะไรอีกครับ ^^

      Delete