SAMA'S Story: เรียนจบแล้วไปไหน???
สวัสดีปีใหม่ไทยครับทุกคน ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีกันนะครับ :)
มาต่อจากตอนที่แล้ว ที่ได้พูดถึงชีวิตปี 4 ในรั้วมหาวิทยาลัยไป
อ่านได้ที่นี่ >>> ชีวิตปี 4แสนสดใส กับการมาถึงของ COVID-19
ในตอนนี้จะมาแชร์เรื่องราวหลังจากที่เรียนจบไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เรียนจบแล้วไปไหน? ตามไปดูกันเลย!!!
หลังผ่านพ้นจากการสอบไฟนอลออนไลน์อย่างตะกุกตะกัก มีวิชานึงที่คอมค้างระหว่างสอบด้วย T_T
ดีที่เปิดกล้องผ่านโทรศัพท์ควบคู่ไปด้วย จึงผ่านพ้นไปได้โดยสวัสดิภาพ...
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ วันที่พูดได้เต็มปากว่า "เรียนจบแล้วว" เอ๊ะ แล้ว "เอาไงต่อดี???"
เรียนต่อ หรือ หางาน?
จริง ๆ แล้วเราเองก็พอจะมีแผนในใจอยู่ ตอนนั้นมีความคิดนึงว่าลองไปสมัครสอบชิงทุนเรียนป.โทดีมั้ย?เพราะก็เป็นความฝันอย่างนึงที่อยากลองไปเรียนที่ญี่ปุ่นสักครั้งในชีวิต แต่คำว่าปริญญาโทย่อมต่างจากการ ไปเรียนแลกเปลี่ยนระยะสั้นแน่ ๆ หากไม่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่จริง ๆ คงไม่ดีแน่ เมื่อได้ลองทบทวนตัวเองดูสักระยะนึงแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า "หางานทำก่อนดีกว่า" เพราะการเรียนปริญญาโทต้องอุทิศทั้งแรงกายแรงใจให้สิ่งที่ต้องการจะศึกษา ซึ่งในตอนนั้นก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าสรุปแล้วเราต้องการรู้อะไรกันแน่จึงพับโครงการไปก่อน หากในอนาคตมีโอกาสได้พบสิ่งที่ทำให้เกิด Passion อย่างแรงกล้าได้ก็อาจจะลองลุยดูสักครั้ง!
ทำอะไรบ้างระหว่างหางาน?
ถึงจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะหางานทำแต่ใจก็อยากจะขอพักก่อนสัก 2-3 เดือน จึงยังไม่เริ่มหางานทันที
ขอพักใจแปป 555 ในตอนนั้นยังไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่ อารมณ์เพิ่งเรียนจบ ลัลล้า ได้พักแล้ว เย่ ^^
ช่วงระหว่างพักผ่อนก่อนหางานมีเวลาให้ตัวเองมาขึ้น จึงใช้เวลาช่วงนั้นไปกับงานอดิเรก เช่นเขียนพู่กันจีน(งานอดิเรกใหม่), วาดภาพ, แปลเพลง ฯลฯ บางวันก็มีไปช่วยที่บ้านขายนมสดผลไม้ที่ตลาดช่วงเย็นหารายได้เสริมด้วย เนื่องจากช่วงนั้นโควิดเริ่มระบาดหนักที่บ้านทำงานแนวทัวร์จึงได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ TT
ขายของก็สนุกดีนะ ได้มาลองตั้งแผง ทำบัญชี มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่วันไหนฝนตกคือหายนะ T__T
|
พกหนังสือการ์ตูนมาอ่านระห่างขายด้วย 555 |
|
บรรยากาศวันฝนตก ตกแปปเดียวน้ำท่วมแล้ว ยกแผงกันชุลมุน |
|
ฝึกเขียนพู่กันยามว่าง |
|
แปลเพลงโปรด ชื่อเพลง "Flying Fish" ของวง "FANTASTICS" ไปฟังกันได้
|
เริ่มหางานยังไง?
พักมาได้ประมาณ 2 เดือน ก็คงถึงเวลาที่ต้องเริ่มหางานแล้วสินะ จริง ๆ ตอนนั้นตัวเองก็ยังคงชิลล์อยู่ ใช้ชีวิตแบบนัดเพื่อนไปอ่านหนังสือที่คาเฟ่แทบทุกวัน เพื่อนก็เตรียมสอบกพ. สอบป.โทไป ส่วนเราก็อ่านเตรียมสอบ N1 ยังคงไม่คิดเรื่องหางาน 55 จนกระทั่งเพื่อนสมัยม.ต้นที่เคยสนิทกันมาก ติดต่อมาถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งเพื่อนคนนี้ก็เรียนจบเอกเดียวกันแต่คนละที่ เพื่อนจึงชวนไปหางานด้วยกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการหางานด้วยประการฉะนี้^^
|
ช่วงนั้นกำลังติด Kimetsu no Yaiba อย่างหนัก! |
|
เข้าคาเฟ่เป็นว่าเล่น ไหนบอกว่าอ่าน N1 ไง 555 |
การหางานช่วงแรกเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนยังจับหลักไม่ได้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนดี โชคดีนะที่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วย นี่สินะที่เขาเรียกว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" 555 ทำให้เราก็ตามเพื่อนไปอย่างเดียวเลยช่วงนั้น เพื่อนทำยังไงเราก็ทำตามหมด วิธีการหางานในตอนนั้นคือตระเวนฝากประวัติกับรีครูทเจ้าต่าง ๆ ไปฝากมาหลายที่อยู่เหมือนกัน ถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีหางานที่ดีนะ เพราะมีทั้งทีมงานที่คอยให้คำปรึกษา ช่วยประเมินเราว่าเหมาะกับงานแบบไหน รวมไปถึงแนะนำงานที่คุณสมบัติตรงให้ด้วย
หางานช่วงโควิดเป็นยังไงบ้าง?
โอ้โห! บอกเลยว่าจากไฟเต็มร้อยในช่วงแรกได้ดับมอดลงไปในชั่วพริบตา เพราะสัมภาษณ์ไปกี่ที่ก็ไม่เคยจะได้รับการตอบกลับ ขนาดยื่นไปประมาณ 10 ที่ ยังทำให้กำลังใจถดถอยไปขนาดนี้T_T
ช่วงแรก ๆ ที่ไปฝากประวัติคือรับโทรศัพท์แทบทุกวัน มีงานมาเสนออยู่เป็นระยะ ๆ แต่พอลองสมัคร หรือสัมภาษณ์ไปแล้ว ไม่ได้รับการตอบกลับก็ทำเอาเขวไปไม่น้อย คิดว่าตัวเองก็ทำใจไว้ดีแล้วนะว่าช่วงนี้งานหายากแต่พอโดนกับตัวจริง ๆ ก็ดาวน์ไปเหมือนกัน มองภายนอกอาจะไม่เครียดแต่ภายในไม่ไหวแล้ว สิวคือเห่อเต็มหน้า TT
ด้วยเหตุนี้จึงต้องกลับมาทบทวนตัวเองอยู่พักใหญ่ว่าเราพลาดตรงไหนไป ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาเราเน้นสมัครแนวหว่านคือรีครูทเสนออะไรมาก็ลองหมด เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร ขอแค่ให้ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นก็เอาหมด ในช่วงนั้นเน้นงานแนวล่าม และแปล ด้วยนิสัยที่ชอบคิดชอบอ่าน แต่ไม่เก่งเรื่องการคุยทั่วไป(ที่ไม่ใช่เรื่องที่มีทอปปิคตายตัวแบบเรื่องงาน) จึงเน้นงานแนวนี้ ประกอบกับตัวเองไม่มีประสบการณ์ มีเพียงใบจบ และคะแนน JLPT ในยุคโควิดที่แม้แต่คนมีประสบการณ์ยังตกงาน เด็กจบใหม่อย่างไรควรจะทำยังไงดี??? T_T
หลังทบทวนตัวเองได้สักพักจึงพร้อมเดินหน้าต่อด้วยการไปสอบ TOEIC เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง มีเวลาเตรียมตัวไม่มากนักแต่คะแนนที่ออกมาก็ถือว่าใช้ไปสมัครงานได้จึงเกิดความมั่นใจมากขึ้น และเริ่มมองหางานจากทางอื่นนอกจากรีครูทบ้าง เช่น
- เว็บ "Towaiwai" เป็นเว็บที่ใครต้องการทำงานที่ใช้ทักษะทางภาษา(โดยเฉพาะภาษาญี่ปุ่น) ควรเข้าไปดูเป็นอย่างยิ่ง มีงานอัปเดตแทบจะเป็นรายชั่วโมง!
- กลุ่มหางานตาม Facebook มีโพสต์งานถี่เหมือนกัน มีทั้งบริษัทโพสต์รับโดยตรง และรีครูทมาโพสต์ (เราได้งานจากที่ทางบริษัทมาโพสต์เองในกลุ่มนี่ล่ะ)
- เว็บหางาน เช่น JobsDB เปิดโลกการหางานมาก
|
เป็นช่วงที่ต้องการกำลังใจมาก ๆ เขียนคำคมแก้เครียดซะเลย |
|
คุณทะเลบอกให้ "สู้ ๆ" |
เล่าประสบการณ์สัมภาษณ์งานให้ฟังหน่อย?
จากที่ยื่นสมัครไปทั้งหมด 10 กว่าที่ มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์ประมาณ 5 ที่ มีตั้งแต่บริษัทแนวครอบครัว ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่พูดชื่อใคร ๆ ก็รู้จักแน่นอน ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ถึงจะไม่ได้งานแต่ก็ดีใจมากที่อย่างน้อยทางบริษัทก็อาจจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเราถึงได้เรียกไปพูดคุย
จากการสัมภาษณ์ทั้งหมดครั้งที่กดดันที่สุดเป็นตอนที่ไปสัมภาษณ์บ.ใหญ่ กดดันมากแม้จะมีการสัมภาษณ์คร่าว ๆ ทางโทรศัพท์แล้ว แต่วันจริงต้องเดินทางไปสัมภาาณ์ที่บ.ด้วยตัวเอง ซึ่งไกลจากบ้านมาก เผื่อเวลาไปเยอะแต่ก็ไปถึงบ.แบบกระชั้นชิดเพราะมีทำถนน T_T หวาดเสียวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม 555 พอไปถึงบ.คือสั่นมาก เหมือนเราเหลือตัวนิดเดียว บ.ก็ใหญ่ คนก็เยอะ แต่ไม่มีใครรู้จักเราเลย พอมาตัวคนเดียวแล้วรู้สึกโหวงมาก ความรู้สึกเดียวกันกับตอนไปงานแรกพบ 555
การสัมภาษณ์กินเวลาทั้งวัน โดยครึ่งเช้าจะเป็นการทำแบบทดสอบทั้งแบบประเมินบุคคลิกภาพ, แบบทดสอบภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการสัมภาษณ์จริงกับผู้บริหารชาวญี่ปุ่น ช่วงเช้ายังพอโอเคอยู่เพราะเป็นการสู้กับตัวเอง แต่พอถึงช่วงบ่ายคือตื่นเต้นมากหัวใจเต้นตึกตัก ๆ จนรู้สึกได้ชัดเจน ระหว่างรอเข้าห้องสัมภาษณ์ดีที่มีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่มาสมัครตำแหน่งเดียวกันเลยพอคลายความตื่นเต้นลงได้บ้าง
ความตื่นเต้นอีกอย่างคือไม่รู้เวลาที่แน่ชัดว่าผู้บริหารจะสัมภาษณ์คนก่อนหน้าเสร็จเมื่อไหร่ ระหว่างที่รอสัมภาษณ์เลยขอไปล้างหน้าล้างตาให้หายตื่นเต้นอีกสักหน่อย มองกระจกแล้วให้กำลังใจตัวเองก่อนพบลาสบอส 555 และแล้วช่วงที่รอคอยก็มาถึงเมื่อพี่ HR เรียกเข้าห้องสัมภาษณ์ โอ้โหภาพแรกที่เห็นหลังเคาะประตู 2 ครั้ง พูด 「失礼いたします」แล้วเปิดประตูเข้าไปคือภาพของผู้บริหารชาวญี่ปุ่น 5 คน และหัวหน้าคนไทยนั่งกันเต็มห้อง TT กดดันก็กดดัน แต่ก็ต้องสู้แล้วจังหวะนี้ ใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 20 นาที ที่พีคสุดคือเขาดูผลการเรียนแล้วเห็นว่ามีลงเรียนภาษาจีนด้วย เขาเลยขอให้พูดภาษาจีนด้วย T_T
ถึงบรรยากาศจะกดดันแต่การสัมภาษณ์ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ทุกคนดูตั้งใจฟังสิ่งที่เราพูด ทำให้คลายความกังวลได้เยอะเลย แต่จนแล้วจนรอดก็ดันพลาดตอนจบ เพราะออกจากห้องสัมภาษณ์ไปแล้วดันนึกได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ในห้องสัมภาษณ์ ถึงแม้จะไม่ได้งานที่นี่แต่มั่นใจว่าทุกคนจะจำเราได้แน่นอน T____T
สรุปได้งานมั้ย?
จบจากการสัมภาษณ์สุดพีคไปแล้ว เป็นที่ที่หวังไว้เหมือนกันนะ แต่หลังจากสร้างวีรกรรมไปแล้วคงยาก 555 เลยเดินหน้าสมัครงานต่อไปด้วยตัวเอง กลับมาเครียดต่อเพราะผ่านมา 4 เดือนแล้วตั้งแต่เริ่มหางานจริงจัง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับเลยแม้แต่ที่เดียว
วันนึงขณะไถเฟซบุ๊กไปเรื่อยก็เจอบ.นึงประกาศรับสมัครงานในกลุ่มหางาน เป็นงานแนว Marketing ของบริษัทญี่ปุ่นที่ทำแอปด้านการศึกษา หลังอ่าน Job Description แล้วก็แอบลังเลนะ เพราะต้องใช้ทักษะการเจรจา และการพูด แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้กรอกใบสมัคร และส่ง Resume ภาษาญี่ปุ่น ไป แต่รู้สึกว่าเป็นงานที่มาได้ถูกเวลามากเพราะตอบโจทย์กับ Condition ของเราได้ ทั้งสถานที่ทำงานที่ทำจากบ้านได้ ตัวงานมีความท้าทายประมาณนึง และได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นตามที่ต้องการ หลังจากสัมภาษณ์ไป 3 ครั้ง ในที่สุดก็ได้งานแล้ววว รู้ผลก่อนปีใหม่พอดี ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในปี 2020 เลย ในที่สุดวันของเราก็มาถึงT_T
|
จัดโต๊ะหนังสือสร้าง Motivation |
|
คันจิประจำปี 2020 ของเรา 「待」เพราะเป็นปีแห่งการรอคอยจริง ๆ |
ทิ้งท้ายให้ผู้อ่านหน่อย
ปี 2020 เป็นปีแห่งการรอสำหรับเราจริง ๆ เป็นปีที่เคว้งนะหลังเรียนจบก็ต้องตัดสินใจต่อว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ลองผิดลองถูกมาก็ไม่น้อย หลังจากการรอคอยที่ยาวนานต้องขอบคุณตัวเองที่ไม่ถอดใจไปเสียก่อน ขอบคุณครอบครัวที่ไม่กดดันมาก ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ชวนไปเปลี่ยนบรรยากาศออกไปนู่นนี่ ทำขนมอร่อย ๆ ให้กิน ^^ ทำให้เรามีพลังกายพลังใจสู้ต่อ ขอบคุณมาก ๆ
|
เติมพลังด้วยขนมที่เพื่อนทำ ช็อคโกแลตเข้มข้นมาก ๆ |
สำหรับใครที่อ่านถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณด้วยเช่นกัน ขอให้ทุกคนได้เจอเส้นทางชีวิตที่ตัวเองต้องการ และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือกนะ รักษาสุขภาพกันด้วยล่ะ ไว้เอนทรี่หน้าจะมาเล่าว่าหลังจากทำงานไปแล้ว 1 ปีเป็นไงบ้าง ฝากติดตามกันด้วยน้า 💕
0 comments:
Post a Comment