SAMA'S Story:[แก้บน!]เผยประสบการณ์เป็นเด็กแอด 59 รีวิวสนามสอบ วิธีการเตรียมตัว และกำลังใจ!
หลังจากที่ผมหายหน้าหายตาทิ้งให้บล๊อกแห่งนี้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไปเสียนาน วันนี้ล่ะครับ ฤกษ์มงคลได้มาถึงแล้ว ผมจะมาเล่าประสบการณ์ตลอด 1 ปีของการเป็นเด็กแอดมิชชัน 59 ในแบบฉบับของผมว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมมีการเตรียมตัวอย่างไร เส้นทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามหรือไม่ เกาะเอนทรี่นี้ไว้แน่นๆครับ ลุยยยยยย!!!!
ปล.สำหรับเอนทรี่นี้ผมได้ทำเป็นรูปแบบ Q&A (Question&Answer) หรือรูปแบบถาม-ตอบนั่นเอง โดยรวบรวมคำถามที่ผมเห็นว่าจำเป็นต้องรู้ และถูกถามบ่อยครับ เพื่อความสะดวกและกระจ่างแจ้งในการอ่านได้ง่ายขึ้นกว่าการอ่านบทความยาวๆครับ(5555)
สอบติดคณะอะไรล่ะ?
คณะศิลปศาสตร์ เอกรวม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครับ
ศิลปศาสตร์เรียนเกี่ยวกับอะไรใช่วาดรูประบายสีหรือเปล่า?
ไม่ใช่อย่างแน่นอนคนละแขนงกันเลยครับ ถ้าวาดรูปต้องไปพวกคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกทัศนศิลป์ หรือคณะมัณฑนศิลป์ครับ ส่วนคณะศิลปศาสตร์นั้นจะเรียนเกี่ยวกับศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของมนุษย์ครับ เช่นภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จิตวิทยา เป็นต้นครับ ซึ่งจริงๆแล้วก็ถือได้ว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับคณะอักษรศาสตร์ และ คณะมนุษยศาสตร์นั่นเองครับ เพียงแต่สถาบันการศึกษาแต่ละที่จะใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันเท่านั้นเองครับ
เอกรวมหมายความว่าอย่างไร เรียนหมดทุกอย่างเลยหรือเปล่า?
เอกรวมหมายความว่าเมื่อเข้าไปเรียนตอนปี 1 แล้วจะยังไม่มีวิชาเอกครับ ต้องลงเรียนวิชาพื้นฐานของเอกที่เราสนใจและทำคะแนนให้ได้ตามเกณฑ์ของแต่ละเอกที่กำหนด เมื่อผ่านเกณฑ์แล้วจึงจะได้รับการคัดเลือกเข้าเอกก่อนขึ้นปี 2 ครับ
ถ้าอยากเข้าคณะนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
สอบติดคณะอะไรล่ะ?
คณะศิลปศาสตร์ เอกรวม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครับ
ศิลปศาสตร์เรียนเกี่ยวกับอะไรใช่วาดรูประบายสีหรือเปล่า?
ไม่ใช่อย่างแน่นอนคนละแขนงกันเลยครับ ถ้าวาดรูปต้องไปพวกคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกทัศนศิลป์ หรือคณะมัณฑนศิลป์ครับ ส่วนคณะศิลปศาสตร์นั้นจะเรียนเกี่ยวกับศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของมนุษย์ครับ เช่นภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จิตวิทยา เป็นต้นครับ ซึ่งจริงๆแล้วก็ถือได้ว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับคณะอักษรศาสตร์ และ คณะมนุษยศาสตร์นั่นเองครับ เพียงแต่สถาบันการศึกษาแต่ละที่จะใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันเท่านั้นเองครับ
เอกรวมหมายความว่าอย่างไร เรียนหมดทุกอย่างเลยหรือเปล่า?
เอกรวมหมายความว่าเมื่อเข้าไปเรียนตอนปี 1 แล้วจะยังไม่มีวิชาเอกครับ ต้องลงเรียนวิชาพื้นฐานของเอกที่เราสนใจและทำคะแนนให้ได้ตามเกณฑ์ของแต่ละเอกที่กำหนด เมื่อผ่านเกณฑ์แล้วจึงจะได้รับการคัดเลือกเข้าเอกก่อนขึ้นปี 2 ครับ
ถ้าอยากเข้าคณะนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
สำหรับคณะศิลปศาสตร์ เอกรวม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นไม่มีรอบรับตรงเปิดครับ ต้องเข้ามาในรอบแอดมิชชันเท่านั้นโดย ใช้คะแนน GPAX 20% O-NET 30% GAT 30% PAT1 หรือ PAT7 20% ครับ คะแนนต่ำสุดปี 2559 หรือปีล่าสุดนี้อยู่ที่ 19,869 คะแนนครับ คณะนี้เป็นคณะปีกกาไม่ว่าจะยื่น PAT1 หรือ PAT7 ภาษาอะไรมาก็ตามก็จะคิดคะแนนรวมกันทั้งหมดโดยเรียงจากมากไปน้อยครับ ดังนั้นถ้าอยากเข้าคณะนี้แล้วอยากรู้ว่าควรทำคะแนนแต่ละส่วนให้ได้เท่าไหร่ ถึงจะมั่นใจได้ว่าติดชัวร์ ไม่หลุดแน่ ห้ามพลาดเนื้อหาต่อจากนี้เลยนะครับ ห้ามกระพริบตาด้วย ^^
1.)GPAX หรือเกรดเฉลี่ยควรทำให้ได้มากกว่า 3.00 ขึ้นไปครับ ถ้ารู้ว่าสู้ด้วย PAT ภาษา หรือคณิตฯไม่ไหวแน่ๆก็ควรทำเกรดเฉลี่ย (คะแนนเต็ม 6,000 คะแนน) ให้ได้มากกว่า 3.50 จะดีมากครับ เพราะถ้าเรามีเกรดเฉลี่ย 6 เทอมที่ 3.50 ก็เท่ากับว่าเรามีคะแนนแอดมิชชัน 5,250/6,000 คะแนนจาก 30,000 คะแนนแล้วครับ
2.)O-NET (คะแนนเต็ม 9,000 คะแนน) ควรทำคะแนนรวมทุกวิชาให้ได้มากกว่า 280/500 ขึ้นไปครับ ถ้าเราได้คะแนน O-NET 280 คะแนน ก็เท่ากับว่าเรามีคะแนนแอดมิชชัน 5,040/9,000 คะแนน จาก 30,000 คะแนนแล้วครับ
3.)GAT (คะแนนเต็ม 9,000 คะแนน) ควรทำให้ได้ 240/300 คะแนนขึ้นไปครับ ถ้าเราได้คะแนน GAT 240 คะแนน เราจะมีคะแนนแอดมิชชันสะสมอยู่ที่ 7,200/9,000 คะแนนครับ
4.)PAT1/ PAT7 (คะแนนเต็ม 6,000 คะแนน) ควรทำให้ได้คะแนน 150/300 คะแนนขึ้นไปครับ สำหรับ PAT1 นี่ต้องฟิตหนักมากครับเพราะออกยากเหลือเกิน พี่เรียนศิลป์-ภาษาไปสอบได้คะแนนมา 50/300 ครับ (จะบ้าตาย 555) แต่พี่ใช้ PAT 7 ยื่นครับ PAT 1 แค่ไปลองข้อสอบเฉยๆ 5555 ถ้าได้คะแนนPAT1 หรือ PAT7 150/300 คะแนน เราก็จะมีคะแนนแอดมิชชัน 3,000/6,000 คะแนนครับ
สรุป เมื่อนำคะแนนข้างต้นมารวมกันแล้ว GPAX+O-NET+GAT+PAT1/7 = 5,250+5,040+7,200+3,000 = 20,490 คะแนน ครับ มากกว่าคะแนนต่ำสุดปีนี้ (2559) 621 คะแนนครับ ซึ่งถือว่าปลอดภัยพอสมควร แต่คะแนนยังถือว่าอยู่ในช่วงล่างๆของคณะอยู่ ถ้าจะเอาให้ชัวร์ผมว่าควรได้คะแนนประมาณ 21,000 คะแนนครับจึงจะถือว่าลุ้นได้สบายๆ ติดชัวร์แน่นอนครับ! ดูกราฟเปรียบเทียบคะแนน และประเมินโอกาสติดได้จากรูปภาพด้านล่างนี้ได้เลยครับ (สมมติว่าเรามีคะแนนแอดมิชชันอยู่ 20,490 คะแนนนะครับ)
อยากเรียนคณะนี้แต่แรกเลยหรือไม่?
ใช่แล้วครับ แต่ไม่ใช่ที่ธรรมศาสตร์ ย้อนกลับไปตอนที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นม.ต้น ผมอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาก แต่เมื่อลองค้นหาข้อมูลก็พบว่า คณะอักษรฯ เอกญี่ปุ่น จุฬาฯ รับเฉพาะเด็กที่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาแล้ว ประกอบกับการที่ผมละทิ้งความฝันในการไปสอบเข้าสายศิลป์-ญี่ปุ่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เพื่อมาสอบเข้าสายศิลป์-ฝรั่งเศส ที่โรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งสอบวันเดียวกันแทน สร้างความเสียใจและผิดหวังในตัวผมเองเป็นอย่างมาก ทำให้ผมตัดคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปจากเป้าหมายครับ และมองหาคณะเดียวกัน เอกเดียวกัน ในมหาวิทยาลัยอื่นที่ดีพอๆกันแทน เหมือนสวรรค์เป็นใจครับ วันหนึ่งขณะที่เล่น Facebook อยู่ผมได้ไปเจอเพจๆหนึ่ง เป็นเพจสอนภาษาญี่ปุ่นครับ แต่เพจนี้พิเศษกว่าเพจอื่นๆตรงที่เจ้าของเพจเปิดเผยตัวตนให้ลูกเพจรู้จักกันอย่างพอดีครับ ผมได้เห็นใบหน้าของเจ้าของเพจ ผมได้รับรู้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของเจ้าของเพจนี้ เท่าที่พี่เจ้าของเพจจะนำเสนอ การสอนภาษาญี่ปุ่นของพี่เขาส่วนใหญ่จะนำสิ่งที่พบเจอจากชีวิตประจำวันนี่ล่ะครับมาสอน บางสิ่งก็เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น และเป็นกันเองจากเพจนี้ครับ พี่เขาเก่งมากได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่น ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าตอนปริญญาตรีพี่เขาเรียนที่ไหน แล้ววันหนึ่งพี่เขาได้เผยประสบการณ์ขณะที่พี่เขาเรียนปริญญาตรีให้อ่าน ผมเลยทราบว่าพี่เขาจบจาก คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมไม่รอช้าครับ รีบหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทันที จนพบว่าที่นี่เขาจะแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นจำนวน 25 คน และกลุ่มไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น (เข้าเอกรวม) อีก 25 คน โดยกลุ่มมีพื้นจะต้องยื่นเข้าเอกญี่ปุ่น ผ่านระบบแอดมิชชันโดยตรง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องทำคะแนน PAT7.3 ภาษาญี่ปุ่นให้ได้คะแนนมากกว่า 75% หรือ225 คะแนน จากคะแนนเต็ม300 คะแนน ซึ่งคะแนนแอดมิชชันต่ำสุดสำหรับกลุ่มมีพื้นฐานปีล่าสุดนี้อยู่ที่ 22,701 คะแนนจาก 30,000 คะแนน ส่วนคะแนนสูงสุดอยู่ที่ 25,329 คะแนนครับ เรียกได้ว่าการแข่งขันโหดหินเลยทีเดียวครับสำหรับกลุ่มผู้มีพื้นฐาน ส่วนกลุ่มไม่มีพื้นฐาน ถ้าอยากเข้าเอกญี่ปุ่น ต้องยื่นเข้าเอกรวมครับ โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามใช้คะแนน PAT7.3 ยื่น ถ้าใช้ยื่นไม่มีสิทธิ์เลือกเรียนเอกญี่ปุ่น แต่สามารถเลือกเรียนเป็นวิชาโทได้ (ผมยื่นเข้ามาโดยใช้ PAT7.1 ภาษาฝรั่งเศสครับ เลยมีสิทธิ์เข้าเอกญี่ปุ่นได้) เมื่อเข้าเอกรวมมาได้แล้วต้องลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน แล้วทำเกรดให้ได้ไม่ต่ำกว่า B จึงจะได้เข้าเอกภาษาญี่ปุ่นเต็มตัวครับ
เมื่อหาข้อมูลจนพอใจแล้ว คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นี่ล่ะครับคือจุดหมายใหม่ แต่ปลายทางเดิมของผม ถึงจะยาก แต่ผมก็จะเข้าให้ได้!!!!
เรียนศิลป์-ฝรั่งเศสมา ทำไมไม่เรียน เอกฝรั่งเศส ไม่เสียดายหรอ?
สายศิลป์-ฝรั่งเศสที่นี่ ให้อะไรผมมากมาย โดยเฉพาะทักษะการตัดต่อวิดิโอที่ก้าวกระโดดขึ้นเป็นอย่างมาก5555 และความอึดครับ เรียนสายศิลป์-ภาษา ที่โรงเรียนผมถ้าเราเรียนเอาความรู้จริงๆจะรู้ว่ามันหนักครับ การบ้านเยอะ ภาษาซับซ้อน กว่าจะได้นอน ต้องอาศัยความอึดเป็นอย่างมาก กว่าผมจะปรับตัวได้ เกรดเฉลี่ยตอน ม.4 ก็ฉุดผมไปเยอะแล้วครับ แต่ถ้าขยัน หมั่นท่องศัพท์ และมีความชอบแรงกล้า บอกเลยว่าการจะสอบ PAT7.1 ให้ได้ 200+ นั้นไม่ไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับผมถามว่าเรียนได้ไหมภาษาฝรั่งเศส ก็เรียนได้นะครับแต่ไม่ได้รู้สึกชอบเป็นพิเศษ ตอนเข้ามาแรกๆมีต่อต้านด้วย กว่าจะปรับทัศนคติได้ก็นั่นล่ะครับ ตอนจะสอบ PAT7.1 ประกอบกับความฝังใจที่ผมไม่ได้เรียนสายศิลป์-ญี่ปุ่นตอนม.ปลาย ทำให้ผมแน่วแน่แล้วว่าจบมายังไงก็จะเรียนเอกภาษาญี่ปุ่นอยู่ดี เพราะผมชอบอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้ซึมซับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาหลายอย่าง กว่าจะรู้ตัวก็เรียกได้ว่าผูกพันจนไม่อาจจะตัดสัมพันธ์แล้วไปเริ่มต้นกับคนใหม่ได้อีกแล้วครับ (เดี๋ยวๆๆๆ 5555) นั่นล่ะครับ อย่างไรก็ตามก็ขอขอบคุณที่ผมเปลี่ยนทัศนคติกับภาษาฝรั่งเศสได้, คุณครูที่โรงเรียนผมตั้งใจสอนอย่างเต็มที่ และความพยายาม(อันน้อยนิด)ที่มีให้กับ PAT7.1 จนนำพาผมสู่ คณะภารกิจได้สำเร็จ Merci beaucoup, mes professeur, mes amis et mon effort!!!
เตรียมตัวอ่านหนังสือ ทำข้อสอบอย่างไรบ้าง?
สำหรับผมแล้วเริ่มมาเตรียมตัวจริงๆจังๆก็ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นม. 6 ครับ โดยผมเริ่มทำความเข้าใจกับข้อสอบ GAT ก่อน ขนบรรดาตำราทั้งหลายที่ผมซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติมาอ่านครับ มีนัดติวกับเพื่อนบ้างครับ อ่านเรื่อยๆครับ ว่างช่วงไหนก็อ่าน บางทีเบื่อๆก็หานิยายภาษาอังกฤษมาอ่านครับได้รู้ศัพท์เพิ่มด้วย ช่วงปิดเทอมผมยังค่อนข้างชิวครับ อ่านตามอารมณ์เป็นหลักเพราะคิดว่ายังมีเวลาอีกตั้งนาน ถ้ารีบอ่านจนจบแล้วต่อไปจะอ่านอะไร = = (นึกแล้วอยากย้อนกลับไปตบเกรียนตัวเองมาก) คิดมาได้ยังไง 555555 แต่พอเปิดเทอมการบ้าน รายงาน ภาพยนตร์สั้น และงานยิบย่อยต่างๆนานาเริ่มมาราวีผมแล้วครับ ทำให้บางวันที่งานเยอะมากๆผมแทบจะไม่ได้อ่านหนังสือเลยครับ แต่มีเอาศัพท์ไปท่องที่โรงเรียนบ้าง รู้ซึ้งถึงคำว่าเวลาเหลือน้อยก็ตอนนั้นแหล่ะครับ แต่ผมก็ยังยึดหลักทางสายกลางครับยังชิวต่อไปไม่โหมหนักครับ อ่านเรื่อยๆแบบนี้ไปจนปิดเทอมครับ เอาล่ะ 1 เดือนสุดท้ายก่อนสอบ GAT/PAT รอบแรก ผมใช้เวลาช่วงนี้ตะลุยโจทย์ข้อสอบเก่าครับ โดยเน้นไปที่ข้อสอบ GAT และ PAT7 เป็นพิเศษเพราะจำเป็นต้องใช้ ผมเก็บข้อสอบเก่าจนครบทุกพ.ศ.ครับ รวมไปถึงข้อสอบจำลองทางอินเทอร์เน็ต และหนังสือที่ซื้อมาด้วย แต่บอกเลยนะครับว่าคะแนนรอบแรกออกมาน่าเศร้ามากกกก TmT นั่นล่ะครับหลังจากสอบ GAT/PAT รอบแรกเสร็จผมเลยสำนึกได้ว่าผมชิวเกินไป ถ้าทำแบบนี้ต่อไปมีแววได้ซิ่วแหงๆ ผมเลยพยายามท่องศัพท์ให้ได้เพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ผมจะเน้นทำข้อสอบเก่าเป็นหลักครับ และหาข้อสอบจากที่อื่นมาทำเสริมด้วย เช่นจากอินเทอร์เน็ต และเอกสารที่โรงเรียนติวให้ครับ ในส่วนของที่เรียนพิเศษผมเรียนวิชาภาษาอังกฤษวิชาเดียวครับ เรียนกับคุณครูแถวบ้าน ที่เรียนพิเศษเน้นให้ทำข้อสอบหลากหลายแบบครับ ทำให้ผมคุ้นชินกับข้อสอบมากขึ้น เวลาทำผิดตรงจุดไหนก็จดสิ่งที่ผิดลงในสมุดแล้วแก้ไขให้ถูกต้องครับ ช่วงหลังจากคะแนน GAT/PAT รอบแรกออกวันธรรมดาผมจะอ่านหลังจากทำการบ้านเสร็จประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ส่วนวันหยุดก็อ่านไปเรื่อยๆตลอดวันครับ ไม่ได้โหมหนัก ยังแบ่งเวลามาทำงานบ้าน สอนการบ้านน้องได้อยู่ครับ 55555
ช่วยอธิบายความเหมือน/แตกต่างของสนามสอบแต่ละสนามที่ต้องสอบ ข้อสอบยากไหม อย่างไร?
ข้อสอบย่อมยากอย่างแน่นอนอยู่แล้วครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นข้อสอบวัดเด็กเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนข้อสอบแต่ละสนามจะยาก-ง่ายแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์ของผมเองจากที่สัมผัสมาแต่ละสนามสอบให้อ่านกันครับ
1.)GAT/PAT รอบที่ 1 (เวลาสอบ 3 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 300 คะแนน) การสอบ GAT/PAT เรียกได้ว่าเป็นสนามสอบแรกสำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยเลยครับ ปีผมสอบช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนครับ ส่วนใหญ่ทุกๆปีมักจะสอบช่วงนี้ จึงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก *ถ้าขาดสอบโดยเฉพาะวิชา GAT ก็จะหมดสิทธิ์แอดมิชชันเลยครับ! สนามนี้ผมลงสอบ 3 วิชาครับ ได้แก่ GAT, PAT1(คณิตศาสตร์)และ PAT7.1(ภาษาฝรั่งเศส) ครับ *เราไม่จำเป็นต้องลงทุกวิชาที่เปิดสอบนะครับ เลือกเฉพาะวิชาที่เราต้องใช้ไปแอดในคณะที่เราต้องการก็พอครับ เพราะฉะนั้น*ก่อนตัดสินใจสมัครสอบวิชาใดวิชาหนึ่งโปรดอ่านสัดส่วนคะแนนของคณะในฝันของเราด้วยครับว่าใช้องค์ประกอบคะแนนจากวิชาใดบ้าง จะได้ไม่เสียเงิน เสียเวลา และเสียคะแนนไปฟรีๆครับ
1.1)GAT พาร์ทภาษาไทย (เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 150 คะแนน)***ไม่มีหลักภาษา ไม่มีวรรณคดี ไม่ต้องอ่านมานะครับ มีแต่บทความยาวๆมาให้แยกส่วนประกอบแล้วเชื่อมโยงกัน แนะนำว่าให้ทำข้อสอบเก่ามาให้ได้มากที่สุดครับ วันสอบจริงจะได้ไม่ต้องมานั่งทำความเข้าใจใหม่ เพราะต้องอาศัยทักษะการอ่านจับใจความที่ต้องไวกว่าปกติมาก หาคีย์เวิร์ดให้เจอแล้วแบ่งเวลาไว้ฝนคำตอบด้วยนะครับ อย่ามัวแต่ร่างคำตอบเพลิดเพลินกับปากกาหลากสีอยู่ และตอบอะไรไปแล้วขอให้มั่นใจครับอย่าลังเลที่จะฝน ฝนไปก่อนให้เสร็จเพราะต้องฝนเยอะมากแล้วค่อยมาตรวจทานอีกที อย่าเป็นเหมือนผมที่ชวดคะแนนเต็มไปเพราะมัวแต่เช็คคำตอบจนเสียคะแนน 40 คะแนน ทั้งๆที่ตอบถูกหมดไปอย่างน่าเสียดาย *ดังนั้นสำหรับพาร์ทไทยการทำข้อสอบเก่าคือวิธีการเตรียมตัวที่ดีที่สุดครับ เข้าใจข้อสอบได้เร็วเท่าไร ยิ่งดี ทุกคนมีสิทธิ์ได้คะแนนเต็มครับ ขอแค่อ่านอย่างมีสติ และแบ่งเวลาทำข้อสอบให้ทันเวลาด้วยครับ :D
1.2)GAT พาร์ทภาษาอังกฤษ (เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 150 คะแนน) *ข้อสอบมี 60 ข้อ 5 ตัวเลือก ข้อละ 2.5 คะแนน ไม่มีอัตนัยครับ พาร์ทนี้เรียกได้ว่าเป็นพาร์ทหักคะแนนเลยก็ว่าได้ครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะได้คะแนนดีกันในพาร์ทภาษาไทย แลัวมาโดนสกัดดาวรุ่งด้วยพาร์ทนี้ครับ พาร์ทภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.2.1) Speaking 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทนี้จะเป็นบทสนทนาทั้ง Short conversation และ Long conversation ครับ ศัพท์ในส่วนนี้ไม่ยากมากครับ เน้นใช้ในชีวิตประจำวัน มีสำนวนบ้าง แนะนำให้อ่านอย่างมีสติ เก็บคะแนนส่วนนี้ให้มากที่สุดได้เต็มไปเลยยิ่งดีครับ
1.2.2) Vocabulary 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทคำศัพท์ครับ *บอกเลยว่าศัพท์ค่อนข้างยากครับ ใครมีคลังศัพท์ในหัวมาก มีชัยไปกว่าครึ่ง ในพาร์ทนี้ยังสามารถแยกย่อยไปได้อีก ดังนี้ครับ
-Synonym test ประมาณ 5 ข้อครับ คือจะมีประโยคมาประโยคหนึ่งแล้วจะมีคำศัพท์หนึ่งคำในประโยคนั้นถูกขีดเส้นใต้เอาไว้ เราก็ต้องหาคำพ้องความหมายของศัพท์ที่ขีดเส้นใต้เอาไว้จากในตัวเลือกทั้ง 5 ตัวเลือกครับเช่น
1. Nintendo took a six-place drop from the top spot after three consecutive years of winning the game developer competition.
1. persistent 2. functional 3. concurrent 4. successive 5. possessive
-Meaning in Context ประมาณ 5-10 ข้อครับ จะมีประโยคมาแล้วเว้นช่องว่างให้เราเลือกศัพท์ที่เหมาะสมจากในตัวเลือกมาเติมครับ เช่น
2. Narikun was __________ with the photo I took of her, and she gave me every____________ to continue taking a photograph.
1. impressed, passion
2. jubilant, blessing
3. delighted, encouragement
4. diligent, desire
5. annoyed, fate
-Meaning Recognition ประมาณ 5 ข้อครับ จะเป็นประโยคและมีคำศัพท์คำหนึ่งถูกขีดเส้นใต้ไว้ ส่วนในตัวเลือกก็จะมีลักษณะเดียวกันกล่าวคือเป็นประโยคและขีดเส้นใต้คำศัพท์คำเดียวกันกับในโจทย์ทุกประการครับ ในภาษาอังกฤษนั้นคำศัพท์หนึ่งคำสามารถมีความหมายได้มากกว่า 1 ความหมาย พาร์ทนี้จึงวัดเรื่องบริบทของคำศัพท์ครับ เช่น
3. People are dying because this President refuses to face the truth.
1. The postcard shows a view of the magnificently carved west face of the cathedral.
2. She tried to save face by inventing a story about being overseas at the time.
3. In his dream he saw the face of the goddess looking down upon her people.
4. He thinks he would lose face if he admitted the mistake.
5. I think Phil has to face the fact that she no longer loves him.
ดังนั้นในส่วนของคำศัพท์ต้องเตรียมตัวท่องศัพท์ให้หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ จำอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องลองนำศัพท์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ด้วย เช่นนำมาแต่งประโยค เขียนไดอารี เขียนบรรยายเรื่องราวต่างๆลง Facebook หรือ Social networkอื่นๆ ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการฝึกพาร์ทคำศัพท์ และช่วยในเรื่องของไวยากรณ์ได้ดีอีกด้วยครับ
1.2.3 Reading 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทการอ่านครับ เป็นพาร์ทปราบเซียนสำหรับผมเลยครับ ข้อสอบปีล่าสุดมีทั้งหมด 4 passages ครับ แต่ละ passages ไม่ยาวมากครับประมาณ 1 หน้า แต่บอกเลยว่าอ่านไปงงไปครับ มันวนไปวนมา คำศัพท์ก็ยากอีกต่างหาก ถ้าอยากเก็บพาร์ทนี้ให้ได้คะแนนดีๆ แนะนำให้ไปอ่านบทความข่าวภาษาอังกฤษมามากๆเลยครับ เพราะจะช่วยได้มาก
1.2.4 Structure&Writing 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทไวยากรณ์ หรือ แกรมมาที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีนี่เองครับ พาร์ทนี้ถ้าใครแม่นๆเก็บคะแนนได้ไม่ยากครับ ความรู้สึกส่วนตัวผมรู้สึกว่าทำแล้วรู้สึกสบายกว่าพาร์ทคำศัพท์ และการอ่านครับ พาร์ทนี้สามารถแบ่งได้เป็นพาร์ทย่อยได้ ดังนี้
-Error 5 ข้อครับ คือจะมีประโยคหนึ่งมาแล้วจะมีคำที่ถูกขีดเส้นใต้มา 5 ตัวให้เราหาจุดผิดจากคำที่ขีดเส้นใต้เหล่านั้นแล้วเลือกตอบมาหนึ่งตัวครับ เช่น
4. Narikun(1) studying at school of medicine, Chulalongkorn university (2) teaches Solsamakun; her boy friend; only how to follow her direction in (3) solving routine problems, but do not teach him how to think (4) critical or to solve (5) non-routine problems.
-Cloze test 5 ข้อครับ คือการเติมประโยคนั่นเอง จะมีบทความยาวประมาณครึ่งหน้ากระดาษครับ แล้วมีช่องว่างคั่นไว้อยู่ ในช่องว่างนั้นจะมีเลขข้อกำกับไว้อยู่ด้วยครับ ให้เราหาคำตอบจากตัวเลือกของแต่ละข้อให้ถูกต้องครับ เช่น
______1______ the massive success of the recent film Freelance, GTH will release the teen movie May Nhai Fai Rang Foer (May Who?) on October 1. Directed by Chayanop Boonprakob, who ______2______ 2011’s coming of age movie Suckseed, May Who? is the story of May Nhai (Sutatta Udomsilp), ______3______ she’s trying to hide. If her heart beats ______4______, her body generates electricity which can be felt by people who touch her.
Two young actors from Hormones the Series, Thanapob Leeratanakachorn (Tor) and Thiti Mahayotaruk (Bank), have supporting roles in the film. Tor plays a popular basketball player, Fame, who makes May Nhai’s heart pound ______5______ he’s around her. Bank plays the introverted Pong, who accidentally discovers May Nhai’s secret. May Nhai then has to help Pong impress the popular Ming (Frung Narikun), who he has a crush on.
1.Follow 2. in accordance 3.Since 4. Following 5.Accordingly
-Writing 5 ข้อครับ จะมีบทความมาให้อ่านแล้วมีช่องว่างที่ต้องเติมครับ คล้ายๆกับพาร์ทด้านบน แต่มีให้ตอบคำถามจากในเนื้อเรื่องด้วย เช่น
(A) Most teachers agree that _______________. (B) One reason is that homework gives students additional practice of skills covered in class. (C) Another reason for home work is that it provides time to complete longer assignments. (D) For example, the ideal composition process allows time for students to think and to reflect on their ideas, as well as time to revise and to proofread their writing. (E) reports and special projects often require research that cannot be done at school. (F) In addition, not all students work at the same speed (G) Giving students time at home to finish work keeps them from falling behind. (H) Finally, the most important reason for homework is that it ensures review. (I) New material and old material focus on different topics. (J) Students who do their homework daily are prepared for tests and make better grades. (K) _________________.
A. Which one best completes the topic sentence (A)?
1. time spent on homework needs to be increased
2. students are actively involved in a learning process
3. a classroom material encourages students to think and revise
4. homework is an important part of learning process
5. students get better grades
ดังนั้นในพาร์ทไวยากรณ์ควรเน้นทำข้อสอบเก่าเยอะๆครับ แกรมมาไม่ควรเน้นท่องจำครับไม่ได้ใช้ลืมแน่ๆ ทำข้อสอบเก่าแล้วนำมาใช้ด้วยครับเช่นเขียนไดอารี ติดขัดตรงไหนก็หาข้อมูลได้ในพจนานุกรมแบบอังกฤษ-อังกฤษออนไลน์ จะมีบอกแกรมมาของคำศัพท์แต่ละคำว่าถ้าใช้ในความหมายนี้ต้องใช้คู่กับ preposition ตัวไหน ใช้ในกรณีใด หรือสามารถสอบถามในเว็บบอร์ดสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ก็ได้ครับได้ทักษะการอ่านและการเขียนเพิ่มมาอีก กำไรทั้งนั้นครับ
สรุป ในส่วนของ GAT พาร์ทภาษาอังกฤษ ใครมีพื้นฐานดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ ใครที่ยังไม่แม่นรีบไปฟื้นฟูด่วนครับ เช่นไปศึกษาด้วยตนเองจากหนังสือ และอินเทอร์เน็ต หรือถ้ามีกำลังทรัพย์มากพอไปลงเรียนพิเศษไว้ก็ไม่เสียหายครับ ถ้าตั้งใจจริงก็เก่งขึ้นได้แน่นอนครับ และอย่าลืมช่วงเดือนสุดท้ายก่อนสอบหมั่นตะลุยข้อสอบเก่าให้ครบจะได้รู้ตัวเองว่าพลาดจุดไหน แต่ปีผมเป็นปีแรกที่ข้อสอบ GAT ปรับเพิ่มเป็น 5 ตัวเลือก และมีความยากเพิ่มมากขึ้นจากข้อสอบเก่าๆมาก จึงอยากแนะนำน้องๆว่าให้ไปฝึกทำข้อสอบที่ยากกว่าข้อสอบเก่าด้วยเช่น TU-GET, CU-TEP หรือ 9วิชาสามัญก็จะยิ่งดีครับ เวลาข้อสอบยากขึ้นจะได้ไม่เหวออแบบผม 55555ถ้าตั้งใจได้ตามนี้สม่ำเสมอคะแนนพาร์ทอังกฤษ 100 up และทั้งพาร์ทไทย+อังกฤษ 250up ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนครับ สู้ๆ!!! Hang in there!!!
1.3)PAT7.1 ภาษาฝรั่งเศส (เวลาสอบ 3 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 300 คะแนน)***ข้อสอบมี 100 ข้อครับ ไปผัน Verbe ท่องศัพท์มาให้ดี แบ่งเป็นพาร์ท Dialogue หรือบทสนทนานั่นเอง ไปโรงเรียน ไปซื้อน้ำ ไปซูเปอร์มาเก็ต ไปดูหนัง เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว ไปเดท คุยกับครู คุยกับเพื่อน ป่วยไปหาหมอ ทุกอย่างในชีวิตประจำวันก็ว่าได้ครับ ใครคลังศัพท์เยอะ แปลได้จะทำได้สบายๆครับ มีพวกสำนวนด้วยบางข้อ พาร์ท Vocabulaire หรือคำศัพท์ Synonyme Antonyme Homonyme บลาๆศัพท์ในหัวเยอะได้เปรียบอีกเช่นเคย พาร์ท Lecture หรือการอ่าน บทความไม่ยาวครับ แต่มีหลายบทความมาก ป้ายโฆษณาก็มี ศัพท์จำเป็นมาก แต่ศัพท์ไม่ยากมากครับ และคำตอบมักอยู่ในบทความอยู่แล้ว ขอแค่ตั้งใจอ่านดีดีครับอย่าเพิ่งฟุบลงไปนอนกับโต๊ะก็เก็บคะแนนพาร์ทนี้ได้ไม่ยากครับ พาร์ท Grammaire ไวยากรณ์ใครผัน verbe แม่น ท่องtemps แม่น เล่นแร่แปรธาตุสลับประธาน กริยา กรรม แปลงนู่นนี่แม่น พาร์ทนี้จะหมูครับ แต่สำหรับผมขอบายครับ 555555 และพาร์ท Culture หรือวัฒนธรรมพาร์ทนี้กว้างมากแต่ออกน้อยมากกกกกครับ ใครแม่นเรื่องแม่น้ำ สถานที่ในปารีส ชื่อถนน ชื่ออนุเสาวรีย์ สถานที่ท่องเที่ยว อาหารฝรั่งเศส วันสำคัญต่างๆ ชื่อประธานาธิบดี ใครอินกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ วรรณกรรม วัฒนธรรมฝรั่งเศส แล้วจะมาเก็บคะแนนพาร์ทนี้ก็ยินดีด้วยครับ คุณผ่านนนน!!!!
ดังนั้นอยากเก็บคะแนนฝรั่งเศสเกิน 150 ท่องศัพท์เยอะๆ หมั่นผัน Verbe กระจาย Verbe อ่านบทความฝรั่งเศส หัดแต่งประโยค เขียนไดอารีเป็นภาษาฝรั่งเศส ก่อนสอบ 1 เดือนตะลุยข้อสอบเก่าครับ จับเวลาด้วย ผิดตรงไหนก็ทบทวนส่วนนั้นด้วยครับ ตอนสอบมีสมาธิไม่ท้อ ไม่หลับ ทำให้ครบ อ่านทุกตัวอักษร หมั่นทำให้ได้สม่ำเสมอแบบนี้ เผลอๆได้เกิน 200 ครับ อย่าอคติกับมันแบบผมไม่ดีๆ 55555555 Bon courage!!!!!!
2.) 9 วิชาสามัญ สนามนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการแอดมิชชันใดใดครับ ใครที่มุ่งมั่นจะแอดมิชชันอย่างเดียวไม่ต้องสอบก็ได้ สนามนี้สำหรับน้องๆที่อยากเป็นแพทย์ และอยากสมัครรับตรง หรือสนใจจะมาลองข้อสอบก็ไม่เกี่ยงครับ เช่นผมเพราะคณะภารกิจของผมมีแต่รอบแอดมิชชันครับ สนามนี้สอบช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคม หรือต้นเดือนมกราคมครับ ผมสมัครสอบไว้ 3 วิชาครับ คือ ภาษาไทย สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ จึงขอมาเล่าเฉพาะ 3 วิชานี้ครับ
2.1 ภาษาไทย (50 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง) วิชานี้สอบเป็นวิชาแรกเลยครับ ไม่เน้นหลักภาษา และวรรณคดีอีกเช่นเคย เน้นการคิดวิเคราะห์เป็นหลักครับ อ่านไปมึนไปครับเพราะผมแทบไม่ได้เตรียมตัว แต่ข้อสอบไม่ยากครับ ถ้ามีสมาธิดีๆ ใครตั้งใจอ่านมา และมีสมาธิดีๆ คะแนน 70up สามารถคว้าไว้ได้ไม่ยากเย็นเลยครับ :)
2.2 สังคมศึกษา (50 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง) วิชาที่โคตรปราบเซียน และยากมากครับ วิชานี้น้องหนูๆต้องรู้รอบครอบจักรวาลครับ แบ่งเป็น 4 พาร์ทคือ ศาสนา ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และ ภูมิศาสตร์ครับ ไปอ่านมาให้ดีครับวันสำคัญทางศาสนาทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม และพราหมณ์-ฮินดู อ่อบางปีศาสนาสิกข์ก็มาขอแจมด้วยครับ 5555 กฎหมายผมขอข้ามไม่สันทัด ประวัติศาสตร์ไปเจาะลึกช่วงสงครามโลกมาให้ดีครับ ภูมิศาสตร์ใครชอบดูแผนที่นี่สบายเลยไปดูมานะครับ สีเขียวหมายถึงอะไร สีแดงหมายถึงอะไร อุปกรณ์ทางภูมิศาสตร์มีอะไรบ้าง ทิศไหนเหมาะแก่การสร้างบ้าน ความสูงระดับนี้จากระดับน้ำทะเลจะมีพันธุ์ไม้อะไรอาศัยอยู่พวกนี้ออกสอบหมดครับ ผมโดนมากับตัว 5555 ใครแม่นศาสนา ใครอยากเข้านิติกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบตรงอยู่จะได้เปรียบพาร์ทกฏหมาย และประวัติศาสตร์มาก ส่วนภูมิศาสตร์นี่แล้วแต่ดวงครับ ยิ่งเตรียมตัวมากเท่าไหร่โอกาสผ่านครึ่งมีมากเท่านั้นครับ โชคดี ^^
2.3 ภาษาอังกฤษ (80 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง) ต้องแข่งกับเวลาอย่างเดียวครับสำหรับวิชานี้ เพราะข้อเยอะแล้วยังให้อ่านเยอะอีก ใครแม่น ใครแปลเร็ว จะได้เปรียบมากครับ ข้อสอบคล้ายๆ GAT ครับ (แต่ผมว่า GAT ยากกว่า) เน้นด้านการอ่านและคำศัพท์จะออกแนววิชาการ มีศัพท์แพทย์อยู่ด้วย บทสนทนาก็ค่อนข้างยาวและคุยกันมีสาระครับ อ่านสนุกแน่นอน สอดแทรกมุกตลกร้ายในข้อสอบ ทำไปขำไป เสียงออดเตือนอีก 10 นาทีหมดเวลาดังปุ๊บรู้เลยว่าทำไม่ทัน กรรม 55555 ไปฝึกทำข้อสอบเก่าแล้วจับเวลาทำดีดีครับ จับให้เร็วกว่าเวลาจริงไว้จะดีมาก เพราะวันจริงจะชอบมีปัญหายิบย่อยมากวนเราได้ตลอด ตั้งสมาธิให้มั่น เลือกตอบไปแล้วอย่าได้ลังเลครับ เวลาผ่านไปไวมากครับสำหรับวิชานี้ ถ้าเตรียมตัวกับ GAT มาหนักแล้ว การได้ 50 up จะไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ ทำได้ๆ :)
3.O-NET สนามนี้เป็นสนามที่สำคัญมาก ถ้าขาดสอบจะไม่มีสิทธ์แอดมิชชันได้เลย สำหรับน้องๆที่อยากเป็นหมอก็ขาดคะแนนในส่วนนี้ไม่ได้เช่นกัน สนามนี้สอบช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ครับ ปีผมเป็นปีแรกที่มีการปรับลดจากสอบ 8 วิชา เหลือสอบ 5 วิชา ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาครับ ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละวิชายาก-ง่ายขนาดไหนก็ตามมาเลยครับ!
3.1คณิตศาสตร์ (ปรนัย 32 ข้อ, อัตนัย 8 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) ออกพื้นฐานทั้งหมดที่เรียนตอน ม.ปลายครับ อาทิพีชคณิต ความน่าจะเป็น จำนวนนับ การวัด และอื่นๆครับ มีโจทย์ปัญหาวัดเชาวน์ปัญญาด้วยครับ สำหรับสายวิทย์น่าจะทำได้สบายๆครับ ส่วนสายศิลป์ถ้าตั้งใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก็เอื้อมถึง 50 คะแนนได้ไม่ยากครับ สำหรับผมขอบายอีกเช่นกันได้เกินมีนก็เป็นบุญละครับ สู้ๆ ^^
3.2สังคมศึกษา(ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ80 ข้อ,ปรนัย5 ตัวเลือก2 คำตอบ10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) ยากอีกตามเคยสำหรับวิชานี้ แนวข้อสอบคล้ายๆ 9 วิชาฯครับ ออกเรื่องศาสนา ถามเรื่องวันสำคัญทางพุทธศาสนา เครื่องอัฐบริขาร พุทธศาสนาสุภาษิต หลักธรรมคำสอนต่างๆครับ เน้นศาสนาพุทธเป็นหลักครับไปอ่านมาให้ดี กฏหมายในส่วนนี้ไม่ถนัดอีกตามเคยใช้สามัญสำนึกล้วนๆครับ ประวัติศาสตร์ถ้าตั้งใจเรียนในห้องกับชอบอ่านหนังสือจะทำได้ไม่ยากครับ เมโสโปเตเมีย ใครประดิษฐ์เลข 0 อักษรโบราณ ยุคหิน ยุคสำริด สงครามเย็น สงครามโลก สนธิสัญญาการค้าต่างๆ สังคมกรีก-โรมัน บลาๆ ***อยุธยา สุโขทัยไม่ค่อยออกแล้วครับ ภูมิศาสตร์ สนธิสัญญามอนทรีออล ไซเตส แแรมซา ภูมิประเทศแต่ละภาคในไทย กระแสน้ำอุ่น กระแสน้ำเย็น ลานีญ่า เอลนีโญ่ เขตภูมิอากาศ ป่าฝนเมืองร้อน อบอุ่น ทุนดรา ไทก้า การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ พืชพันธุ์ สัตว์ป่าต่างๆ ไปอ่านมาให้ดีนะครับ ใครชอบอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้อง คว้า 50 คะแนนขึ้นไปได้ไม่เหนื่อยเกินไปเลยครับ ตั้งใจนะครับ ฮึบ ฮึบ :D
3.3ภาษาอังกฤษ (ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ80 ข้อ,ปรนัยหลายตัวเลือก1 คำตอบ10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) ภาษาอังกฤษ O-NET เน้นไวยากรณ์ครับ คำศัพท์ไม่ยากเท่า GAT และ9วิชาฯครับ ใครเตรียมตัวสองสนามแรกมาดีจะได้กำไรวิชานี้มาก มีบทสนทนา, cloze test, reading และป้ายโฆษณาครับ แต่พาร์ทปราบเซียนอยู่ที่ 20 ข้อสุดท้ายครับคือพาร์ท error เพราะยากกว่า error ใน GAT (ต้องขอขอบคุณคุณครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนของผมเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะท่านให้ชีท Error มาทำเป็นร้อยๆข้อจนผมชินกับ Error มากขึ้น ทำให้พอต่อสู้กับ O-NET ได้ครับ) และหาจุดผิดไม่พอแต่ต้องแก้ให้ถูกด้วยครับ เช่น
81. Stella (1) carefully hid all her jewelry (2) in the cabinet (3) in case she was afraid that it (4) would be stolen.
1. A. carefully hides
B. hides carefully
C. has carefully hidden
D. was carefully hidden
2. A. at
B. by a
C. under
D. above the
3. A. so
B. but
C. because
D. whereas
4. A. will steal
B. was stolen
C. would sftal
D. will be stolen
สมมติว่าหาจุดผิดเจอแล้วคือข้อ 3 ก็ต้องดูตัวเลือกในข้อ 3 ด้วยนะครับว่าต้องแก้เป็นอะไร สมมติแก้เป็นข้อ C ก็ฝนช่อง C ในกล่องข้อ 3 ลงไปตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ
***ข้อสอบ O-NET ภาษาอังกฤษ พาร์ท Error ออกแบบนี้ และฝนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 54 แล้วครับ และคิดว่าปีนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยน น้องๆหนูๆโชคดีแล้วครับที่ได้ศึกษาวิธีการทำพาร์ทนี้ก่อน จากเอนทรี่นี้ เพราะเพื่อนผมหลายคนพลาดตรงจุดนี้เพราะคิดว่าต้องแก้ทุกข้อ เลยฝนทุกช่องไป เสียคะแนน 20 คะแนนไปฟรีๆเลยนะครับ!!! เพราะฉะนั้นก่อนสอบอ่านระเบียบการ และวิธีการทำข้อสอบมาให้ดีนะครับจะได้ไม่เสียคะแนน
ดังนั้นใครเตรียมตัวภาษาอังกฤษตอน GAT และ9 วิชาสามัญมาดีแล้ว มาทบทวนนิดๆหน่อยๆ จะคว้าคะแนน 60 up ใน O-NET ได้ไม่ยากเลยครับ *สำหรับใครที่อยากเข้าเอกอังกฤษควรทำคะแนน O-NETภาษาอังกฤษให้ได้ 75 คะแนนขึ้นไปนะครับ แล้วน้องจะมีสิทธิ์สมัครได้ทุกที่เลยเพราะส่วนมากกำหนดคะแนน O-NET ภาษาอังกฤษไว้ที่ 50 คะแนน ส่วนของธรรมศาสตร์กำหนดขั้นต่ำไว้ 75 คะแนน! สู้ๆครับ :D
3.4ภาษาไทย(ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ 70ข้อ,ความคิดเชื่อมโยง10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) วิชานี้เป็นวิชาที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนระดับประเทศสูงที่สุด และคนส่วนใหญ่รู้สึกสบายใจที่สุดเวลาทำ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำให้ดีนะครับ ตัวข้อสอบคล้ายๆกับ 9 วิชาสามัญครับ แต่มีพาร์ทหลักภาษา และวรรณคดีด้วย แต่เน้นอ่านคิดวิเคราะห์เป็นหลักครับ เนื่องจากข้อสอบเน้นอ่านน้องๆตั้งสมาธิดีๆนะครับเวลาทำ และอย่าอ่านช้าจนเกินไปจะทำไม่ทันเอานะครับ ผมใช้วิธีอ่านแล้วตัดตัวเลือกเอา ข้อสอบแบบนี้ควรทำข้อสอบเก่ามามากๆครับ ใครเตรียมวิชาสามัญมาเยอะแล้วจะค่อนข้างสบาย ในส่วนของหลักภาษาไปแยกประเภทคำเป็น คำตาย คำครุ ลหุ มาตราตัวสะกด คำไทย คำบาลี คำสันสกฤต คำเขมร ไปแยกมาให้แม่นเลยนะครับ ส่วนของวรรณกรรมไปท่องผังกลอนมาครับ กลอนสุภาพ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง โคลงสี่สุภาพมานะครับ*ออกทุกปี ใน O-NET ผมเตรียมตัววิชาภาษาไทยมามากที่สุดครับแต่ก็ทำไม่ทันไปประมาณ 2-3 ข้ออยู่ดี T_T สู้ๆครับ ถ้ารอบคอบ ไม่เบลอ ไม่ง่วง พักผ่อนเพียงพอ คะแนน 70 up ไม่หลุดมือแน่นอนครับ!
3.5วิทยาศาสตร์ (ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ 80ข้อ,หลายตัวเลือกมากกว่า 1 คำตอบ10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) มาแล้วครับวิชาปิดท้าย O-NET และสร้างควรปวดเศียรเวียนเกล้าให้ทั้งเด็กสายวิทย์ และสายศิลป์ได้เป็นอย่างดี ข้อสอบออกครอบคลุมทั้ง ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และโลกดาราศาสตร์ และอวกาศครับ แต่เน้นฟิสิกส์เป็นพิเศษครับ ก็มีข้อที่ทั้งพื้นฐานและไม่พื้นฐานครับ สำหรับเด็กสายศิลป์อย่างผมแล้วเจอพาร์ทฟิสิกส์ปุ๊บขอเสี่ยงดวงเลยแล้วกัน บางเรื่องก็ไม่เคยเรียนมาก่อนจริงๆครับ ไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอื่นยังงี้ คำนวณว่าสัญญาณจะส่งไปถึงดาวดวงนั้นใช้เวลาเท่าไหร่ สายศิลป์อย่างผมยกธงขาวเลยครับ แต่ก็มีส่วนที่ทำได้ครับพวก สิ่งมีชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของโลก ดาราศาสตร์และจักรวาล กับไดโนเสาร์ครับ อะไรที่เป็นคำนวน กับเคมี ธาตุต่างๆนี่เดาอย่างเดียว 55555 สำหรับน้องๆสายวิทย์คิดว่า 50 up ไม่ยากเกินไปแน่นอนครับ สำหรับสายศิลป์ตั้งใจเรียนในห้องนะครับ อ่านเพิ่มเติมอีกนิดคะแนนก็เฉียด 50 ได้ไม่ยากครับ ผมขาดอีกคะแนนเดียว ตั้งเป้าไว้ 50 เจ็บใจจจจ!!!! 555555 สู้ๆครับ :)
4.)GAT/PAT รอบที่ 2 (เวลาสอบ 3 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 300 คะแนน) สำหรับการสอบรอบ 2 ถ้าพอใจคะแนนรอบแรกแล้ว ไม่ต้องลงสอบก็ได้ครับ ผมลงสอบไว้เพราะคะแนนรอบแรกแย่แบบผิดคาดมาก เลยอยากมาแก้มือใหม่ เพราะคะแนนพาผมไปไม่ถึงคณะในฝันแน่ๆถ้าใช้คะแนนรอบแรก ผมลง 3 วิชาเหมือนรอบแรกครับ GAT,PAT1 และ PAT7.1ครับ สำหรับ GAT/PAT รอบ 2 จะจัดสอบในช่วงต้นเดือน มีนาคมครับ ก่อนผมสอบผมมักได้ยินพวกรุ่นพี่บอกว่า "รอบสองมักยากกว่าแล้วแรก" กับ "ถ้าจะทำคะแนนทำรอบแรกให้ดีไปเลย เพราะรอบสองคะแนนขึ้นยาก" ส่วนใหญ่มักพูดกันแบบนี้ครับ ผมนี่เครียดสิครับจะต้องซิ่วไหมเนี่ย 5555 สำหรับรอบแรกผมเตรียมตัวทำข้อสอบเก่ามาครบทุกชุดแล้ว รอบสองผมก็ทำซ้ำอีกครั้งแต่จับเวลาให้เร็วกว่าเวลาจริงเพื่อที่ว่าจะได้ไม่มานั่งเสียใจถ้าทำไม่ทันอีก นอกจากข้อสอบเก่าที่ผมทำไปถึงสมัยปี 30 แล้ว คะแนนออกมาก็ดีครับเป็นที่น่าพอใจ ส่วนวันจริงจะเป็นอย่างไรนั้นผมจะมาบรรยายให้อ่านครับ ^^
4.1 GAT พาร์ทไทยรู้สึกว่าง่ายขึ้นครับ ฝนทันด้วย รู้สึกว่าอะไรดีดีกำลังจะเกิดขึ้น โลกสวยงามขึ้นมาทันใด
GAT พาร์ทอังกฤษยากกว่ารอบแรกที่ว่ายากแล้วอีกครับ บทสนทนามีความ Advanced ขึ้นมาก คำศัพท์ก็เช่นกัน การอ่านก็ไม่น้อยหน้าครับ ซบอกพาร์ทไวยากรณ์ดีกว่าช่วยข้าน้อยด้วยครับ แถมฝนไม่ทันไปอีกกว่า 15 ข้อ คะแนนหายไป กว่า 50 คะแนน คิดเป็นคะแนนแอดก็เสียหายเป็นพันครับ T___T หลังทำพาร์ทอังกฤษเสร็จรู้ตัวเองเลยครับ ตูคงต้องซิ่วเป็นแน่แท้ โลกมือมนขึ้นมาทันใด พ่อกับแม่จะเข้าใจผมไหม ท่านจะอายขายขี้หน้าหรือเปล่า? จิตตกเลยครับ
4.2 PAT7.1 ภาษาฝรั่งเศส รอบสองผมเตรียมตัวน้อยกว่ารอบแรกครับสำหรับฝรั่งเศสเพราะปลง 555 ข้อสอบง่ายขึ้นครับ ทำได้หลายข้อ แปลลื่นไหลขึ้น ถ้าอ่านมากกว่านี้คงได้ 180 up ไปแล้ว 555555 แต่ถึงคะแนนจะง่ายขึ้นอย่างไร ก็ไม่สามารถบรรเทาความเศร้าจากการทำ GAT อังกฤษไม่ทันได้หรอกครับ T_T
เคยรู้สึกลังเล หรือท้อแท้ไหม?
ลังเล
มีอยู่ช่วงนึงตอน ม.5 เทอม 2 ผมรู้สึกไม่อยากสู้กับคณะภารกิจอีกแล้ว เพราะรู้สึกมันยากและหนักเกินไป จึงนอกใจมามอง คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแทน หาข้อมูลอยู่นานก็พบว่าตัวเองสนใจสาขานี้เหมือนกันครับ เพราะชอบเรียนวิชาสังคม กับภาษาอยู่แล้วเลยคิดว่าจะไปด้วยกันได้ ดูคะแนนแล้วก็พอไปได้นะ ตอนนั้นผมมองธรรมศาสตร์ไว้ แถมมีสอบตรงด้วย ไปไปมามาไม่รู้อะไรมาดลใจครับเกิดอยากเป็นสิงห์ดำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นมาอีกเลยตั้งเป้าว่าอยากเข้า คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่จุฬาฯ ก็ธรรมศาสตร์แทน ช่วงม.6 ผมเลยโฟกัสคณะนี้มาตลอด เริ่มเอาตัวเองมาสนใจข่าวการเมือง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่ค่อยจะได้ตาม ใครมาถามก็บอกว่าอยากเข้าคณะนี้ เริ่มพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองให้ดีขึ้น จนท้ายที่สุดแล้วตอนเลือกอันดับแอดมิชชันกลับใส่คณะนี้ไว้อันดับ 2 กับ 3 แทนเพราะพบว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้อยากเรียนสายนี้จริงจัง ไม่ใช่รัฐศาสตร์สาขาอะไรก็ได้ แต่ต้อง IR ไม่ใช่ที่ไหนก็ได้แต่ต้อง จุฬาฯ มธ. ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองยึดติดที่เปลือก รู้จักคณะนี้เพียงแค่เปลือกเท่านั้น อยากเรียนเพราะเท่ อยากเรียนเพราะอยากหนีความจริงที่คณะภารกิจมันเรียนยาก มันหนัก งานไม่มั่นคงเท่า อยากเรียนเพราะอยากได้รับการยอมรับจากสังคม ตอนเลือกอันดับแอดผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ใครถามก็บอกจะเข้า IR ถ้าเปลี่ยนแล้วพ่อแม่จะรู้สึกยังไง เพื่อนจะมองเราล้มเหลวไหม จะมองเราว่าโลเลไม่มั่นคงหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ตัดสินใจได้สติกลับมาหาสิ่งที่ผมชอบที่สุดตามเดิม และผมมั่นใจว่าผมจะทำมันให้ดีให้ได้
ท้อแท้
รู้สึกสิครับ รู้สึกมากด้วย หลังผลสอบ GAT-PAT รอบแรกประกาศทั้งๆที่เผื่อใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าคะแนนจะแย่ขนาดนั้น ผมได้คะแนน GAT แค่ 190.87 คะแนน จากคะแนนเต็ม 300 คะแนนครับ เวลาใครถามก็รู้สึกอายมากครับ ผมนอนไม่หลับตาบวมไปหลายคืน จึงตั้งใจจะไปล้างแค้นรอบสอง แต่พอรอบสองผมทำแกทอังกฤษไม่ทันอีก แถมไม่ทันไปตั้งแถวกว่า กระดาษคำตอบขาวจั๊วะเลยครับ ผมคิดเลยว่าคงได้ซิ่วแน่ๆ นอนไม่หลับ และน้ำตาคลอเลยครับ ได้แต่คิดว่าอะไรกันวะ เราเตรียมตัวมาตั้งเยอะ ทำข้อสอบเป็นพันๆข้อ ศัพท์ก็ท่องทุกวัน ไดอารีก็ฝึกเขียน ผมรู้ว่าตัวเองพัฒนาขึ้นมากในส่วนของภาษาอังกฤษ ในห้องเรียนคะแนนก็เกาะกลุ่มกับคนเก่งๆแล้ว แล้วเรายังพยายามไม่พออีกหรอ จนช่วงที่คะแนนโอเน็ตออกมาดีเกินคาดผมดีใจมากและคิดว่าเริ่มมีความหวังแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี ช่วงปิดเทอมผมจึงไปซื้อหนังสือเตรียมสอบมาอ่านซิ่วครับ เพราะคิดว่าคะแนน GAT/PATรอบสอง ก็คงไม่ช่วยอะไรหรอก ผมถึงขนาดตั้ง Worst case scenario ไว้เลยว่า GAT น่าจะได้ 220 คะแนน PAT7.1 น่าจะ 150 คะแนน และ PAT1 คงได้ 50 คะแนน พอผลออกมาจริงๆตอนนั้นผมกลับบ้านที่ยะลาพอดี คะแนนก็ออกมาตามที่คิดไว้เกือบเป๊ะเลยครับ พอคำนวนมาเป็นคะแนนแอดแล้วก็ไม่น่าเกลียด จัดว่าดีเลยด้วยซ้ำ เพราะเกรดกับ โอเน็ตช่วยไว้ แต่อย่างไรคณะที่ผมอยากเข้าคะแนนก็สูงมากเช่นกัน พอเห็นโอกาสติดที่ 50% แล้วก็เริ่มมีความหวังครับ แต่ก็ยังเลิกเศร้าและเครียดไม่ได้ เราทำได้ดีกว่านี้อีกอ่ะได้แต่แค้นตัวเองในใจ และก็เตรียมตัวซิ่วต่อไปT_T
มีวิธีเลือก 4อันดับแอดมิชชันอย่างไร และเลือกอะไรไปบ้าง?
ผมเลือกคณะที่ชอบทั้ง 4 อันดับเลยครับ อย่าเลือกแบบคณะอะไรก็ได้ขอแค่ให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยนั้น แบบนี้ไม่โอเคอย่างแรงครับ ไปปรับทัศนคติมาด่วน เพราะอย่าลืมนะครับว่าตลอด 4 ปีหลังจากนี้เราจะต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราเลือกนะครับ เพราะฉะนั้นเลือกคณะที่เราอยากเรียน ที่คิดว่าเรียนแล้วเรามีความสุขที่สุดครับ แล้วเราจะทำมันได้ดีไม่ว่าจะเรียนหนักหนาสาหัสแค่ไหนครับ แนะนำว่าทั้ง 4 อันดับที่เราจัดนี้ไม่ว่าจะติดอันดับไหน ถ้าเฮทุกอันดับก็เป็นใช้ได้ครับ รวมไปถึงต้องดูสถิติคะแนนสูงสุด-ต่ำสุดย้อนหลัง 3 ปีเป็นอย่างน้อยของคณะที่เราอยากเข้าให้ดีนะครับว่าเทียบกับคะแนนที่เรามีอยู่แล้วนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ให้มองโลกตามความเป็นจริงนะครับ ไม่ต้องเครียดกับผลลัพธ์ เราทำเต็มที่แล้วครับ :D .
*สำหรับเอนทรี่นี้ผมได้นำวิธีการเลือกอันดับแอดมิชชัน 4 อันดับให้ติดชัวร์มาแบ่งปันกันครับ
คณะอันดับ 1 เลือกคณะในฝันครับ คะแนนติดลบเท่าไหร่ก็เลือกไปถ้าเราอยากเรียนจริงๆ เพราะในปีพ.ศ. 2553 คะแนนคณะนิติศาสตร์ เลือกสอบวิชาฝรั่งเศส จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนนต่ำสุดก็เคยลดลงมาเหลือ 7,800 คะแนนมาแล้ว! เช่นเดียวกับคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนนต่ำสุดปี 2553 และ 2556 ก็เคยลดลงมาแตะระดับที่ 12,000 คะแนนด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นอันดับ 1 ไม่ต้องคิดมากครับอยากเรียนคณะไหน มหาวิทยาลัยไหนมากที่สุดก็เลือกได้เลย โอกาสเป็นของผู้กล้าทุกคนนะครับ :)
คณะอันดับ 2 อันดับ 2 นี้ควรเทียบคะแนนของเรากับคณะที่เราอยากเข้ารองลงมาได้แล้วนะครับ ไม่ควรให้คะแนนของเราต่ำกว่าคะแนนต่ำสุดของคณะที่เราอยากเข้าห่างกันเกินเกิน 1,000 คะแนนนะครับ
คณะอันดับ 3 อันดับนี้คะแนนของเราควรมากกว่าคณะที่เราเลือก 500-1,000 คะแนนขึ้นไปครับ เพื่อความปลอดภัย
คณะอันดับ 4 อันดับนี้เราจะหลุดไม่ได้ ถ้าหลุดหมายความเราแอดไม่ติดแล้วนะครับ ดังนั้นคะแนนควรบวกจากคณะที่เราเลือกประมาณ 1,500-2,000 คะแนนขึ้นไปครับ จะได้อุ่นใจว่าไม่หลุดแน่นอน
*ในความเป็นจริงแล้วการเลือกอันดับแอดมิชชันไม่มีรูปแบบตายตัวหรอกครับ สมมติเรามีคะแนนแอดอยู่ประมาณ 25,600 คงใช้วิธีการด้านบนไม่ได้แน่ๆ เพราะอย่างไรคะแนน 25,600 คงไม่มีทางแอดไม่ติดแน่นอนครับ เลือกคณะที่เราอยากเรียนที่สุดไว้อันดับเดียวก็ทำได้สบายๆ ไม่ต้องเลือกคณะสำรอง อันดับ2 3 4 ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีคะแนนแอดมิชชันอยู่ 10,000 การจะหาคณะที่คะแนนเราบวกเกิน 1,000 คะแนนขึ้นไปคงเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร และการจะเลือกคณะที่ชอบทั้ง 4 อันดับก็คงเป็นไปไม่ได้แน่ๆครับ เพราะฉะนั้นถ้าอยากใช้เกณฑ์การเลือกคณะดังที่ผมอธิบายข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเลือกคณะที่ชอบได้ทั้ง 4 อันดับ ควรทำคะแนนแอดมิชชันให้ได้มากกว่า 18,000 คะแนนขึ้นไปครับ
ตัวผมนั้นสนใจด้านภาษา และรัฐศาสตร์ครับ แต่อยากเรียนเอกภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นด้านภาษามากกว่า เลยเลือกคณะเรียงตามคะแนนและความชอบดังนี้ครับ
สรุป อย่างที่บอกครับการเลือกอันดับแอดมิชชันไม่มีแบบแผนตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับคะแนนที่น้องมีอยู่เป็นหลักว่าพอจะไปถึงคณะไหน ที่ไหนได้ จะไปถึงคณะที่เราชอบได้ทั้งหมด 4 อันดับหรือไม่ เพราะฉะนั้นตั้งใจอ่านหนังสือ แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง และตั้งใจทำข้อสอบให้ดี อย่าหลับ ทำให้เต็มเวลา ฝนให้ทันด้วย แล้วคะแนนจะออกมาดีเองครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ :D
แล้วมีเป้าหมายอย่างไรต่อไปหลังจากนี้?
ตอนนี้ผมกำลังฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐานอยู่ครับ เพราะผมจะต้องไปทำเกรดวิชาภาษาญี่ปุ่นให้ได้เกรด B ขึ้นไปจึงจะสามารถเข้าเอกญี่ปุ่นได้ ไม่เฉพาะการเข้าเอกญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ผมยังต้องการให้ตัวเองสามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน และทำงานระหว่างประเทศร่วมกันได้อย่างไหลลื่นครับ ผมก็ยังคงต้องฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นต่อไปจนแก่เลยล่ะครับ ภาษาอังกฤษก็เช่นกันครับ เพราะภาษาเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เราต้องใช้มันบ่อยๆครับ
เข้าคณะภารกิจได้แล้วกำลังใจสำคัญไหม?
กำลังใจสำคัญมากกว่าแรงกดดันครับ อยากขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ที่ไม่เคยบังคับให้ผมเรียนนู่นเรียนนี่ตามคนอื่นๆ ไม่เคยเปรียบเทียบผมกับเด็กคนอื่น และคอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่ห่างๆครับ รวมไปถึงคุณยาย และน้องชายของผมที่ผมต้องพยายามมากขึ้นเพื่อที่จะให้เขาเห็นผมเป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้
ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่เคยสั่งสอนผมมาครับ ความรู้สมัยประถมศึกษาสามารถนำมาต่อยอดใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เสมอครับ คุณครูสอนฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษตอน ม.ปลายที่ตั้งใจถ่ายทอดความรู้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ผมพัฒนาภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสมาได้จนพาผมเข้าคณะ และมหาวิทยาลัยในฝันได้ขอบใจเพื่อนๆทุกคนในห้องที่เคยเรียนร่วมกันมา ขอบใจเพื่อนที่สอบได้ที่ 1 ทุกคนที่เป็นแรงผลักดันให้ผมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ขอบใจเพื่อนอิ๋ม และเพื่อนซันที่เป็นกำลังใจ และให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง ขอบใจที่สอนภาษาญี่ปุ่น ให้ชีทภาษาญี่ปุ่่น และให้หนังสือภาษาญี่ปุ่นมาฝึกฝนด้วย ขอบใจเพื่อนเอิทที่ชวนไปติวฟรีกับครูพี่แนนทำให้ได้แนวข้อสอบปีล่าสุด ทำให้ได้ศัพท์กลับมาเป็นร้อยๆคำ 5555 รวมไปถึงคำพูดให้กำลังใจทุกคำที่มีให้มันยิ่งใหญ่มากจริงๆ สุดท้ายเราก็ เจอกันที่โดมนะ แซวเล่นกันอยู่ตั้งนานได้ไปเรียนจริงๆเลย 5555 ขอบใจเพื่อนปอที่บอกให้สอนการบ้าน สอน Error ทำให้ภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นมามากเพราะการไปสอนคน ทำให้ได้ทบทวนความรู้บ่อยๆ
ขอบคุณหนังสือทุกเล่มที่ผมเคยอ่าน ใครจะคิดว่าหนังสือการ์ตูนสมัยประถมก็ทำให้ผมทำข้อสอบวิทยาศาสตร์ได้ ขอบคุณที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน รักนายมากจริงๆ
ขอบใจคุณหมอนะ เจอกันที่งานบอล เราจะตามซีรีส์เธอตลอดไป รัก ^^
และท้ายที่สุดนี้ขอให้กำลังใจน้องๆทุกคนที่กำลังพบอุปสรรคไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไม่อยากให้เรียนคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้ก็ขอให้พิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้ หาเหตุผลดีๆมาคุยกับท่าน อย่าได้มีปากเสียงกันเลยนะครับ ถ้าใครครอบครัวโอเคด้วยก็ยินดีด้วยครับ อย่าลืมทำตามความฝันให้ได้ด้วย สู้ๆครับ :D
ปล.ใครมีคำถามอะไรสอบถามได้เลยนะครับ ลิงก์ข้อสอบต่างๆมาขอได้ครับ สู้ๆครับ :D
สำหรับผมแล้วเริ่มมาเตรียมตัวจริงๆจังๆก็ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นม. 6 ครับ โดยผมเริ่มทำความเข้าใจกับข้อสอบ GAT ก่อน ขนบรรดาตำราทั้งหลายที่ผมซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติมาอ่านครับ มีนัดติวกับเพื่อนบ้างครับ อ่านเรื่อยๆครับ ว่างช่วงไหนก็อ่าน บางทีเบื่อๆก็หานิยายภาษาอังกฤษมาอ่านครับได้รู้ศัพท์เพิ่มด้วย ช่วงปิดเทอมผมยังค่อนข้างชิวครับ อ่านตามอารมณ์เป็นหลักเพราะคิดว่ายังมีเวลาอีกตั้งนาน ถ้ารีบอ่านจนจบแล้วต่อไปจะอ่านอะไร = = (นึกแล้วอยากย้อนกลับไปตบเกรียนตัวเองมาก) คิดมาได้ยังไง 555555 แต่พอเปิดเทอมการบ้าน รายงาน ภาพยนตร์สั้น และงานยิบย่อยต่างๆนานาเริ่มมาราวีผมแล้วครับ ทำให้บางวันที่งานเยอะมากๆผมแทบจะไม่ได้อ่านหนังสือเลยครับ แต่มีเอาศัพท์ไปท่องที่โรงเรียนบ้าง รู้ซึ้งถึงคำว่าเวลาเหลือน้อยก็ตอนนั้นแหล่ะครับ แต่ผมก็ยังยึดหลักทางสายกลางครับยังชิวต่อไปไม่โหมหนักครับ อ่านเรื่อยๆแบบนี้ไปจนปิดเทอมครับ เอาล่ะ 1 เดือนสุดท้ายก่อนสอบ GAT/PAT รอบแรก ผมใช้เวลาช่วงนี้ตะลุยโจทย์ข้อสอบเก่าครับ โดยเน้นไปที่ข้อสอบ GAT และ PAT7 เป็นพิเศษเพราะจำเป็นต้องใช้ ผมเก็บข้อสอบเก่าจนครบทุกพ.ศ.ครับ รวมไปถึงข้อสอบจำลองทางอินเทอร์เน็ต และหนังสือที่ซื้อมาด้วย แต่บอกเลยนะครับว่าคะแนนรอบแรกออกมาน่าเศร้ามากกกก TmT นั่นล่ะครับหลังจากสอบ GAT/PAT รอบแรกเสร็จผมเลยสำนึกได้ว่าผมชิวเกินไป ถ้าทำแบบนี้ต่อไปมีแววได้ซิ่วแหงๆ ผมเลยพยายามท่องศัพท์ให้ได้เพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ผมจะเน้นทำข้อสอบเก่าเป็นหลักครับ และหาข้อสอบจากที่อื่นมาทำเสริมด้วย เช่นจากอินเทอร์เน็ต และเอกสารที่โรงเรียนติวให้ครับ ในส่วนของที่เรียนพิเศษผมเรียนวิชาภาษาอังกฤษวิชาเดียวครับ เรียนกับคุณครูแถวบ้าน ที่เรียนพิเศษเน้นให้ทำข้อสอบหลากหลายแบบครับ ทำให้ผมคุ้นชินกับข้อสอบมากขึ้น เวลาทำผิดตรงจุดไหนก็จดสิ่งที่ผิดลงในสมุดแล้วแก้ไขให้ถูกต้องครับ ช่วงหลังจากคะแนน GAT/PAT รอบแรกออกวันธรรมดาผมจะอ่านหลังจากทำการบ้านเสร็จประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ส่วนวันหยุดก็อ่านไปเรื่อยๆตลอดวันครับ ไม่ได้โหมหนัก ยังแบ่งเวลามาทำงานบ้าน สอนการบ้านน้องได้อยู่ครับ 55555
ช่วยอธิบายความเหมือน/แตกต่างของสนามสอบแต่ละสนามที่ต้องสอบ ข้อสอบยากไหม อย่างไร?
ข้อสอบย่อมยากอย่างแน่นอนอยู่แล้วครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นข้อสอบวัดเด็กเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนข้อสอบแต่ละสนามจะยาก-ง่ายแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์ของผมเองจากที่สัมผัสมาแต่ละสนามสอบให้อ่านกันครับ
1.)GAT/PAT รอบที่ 1 (เวลาสอบ 3 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 300 คะแนน) การสอบ GAT/PAT เรียกได้ว่าเป็นสนามสอบแรกสำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยเลยครับ ปีผมสอบช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนครับ ส่วนใหญ่ทุกๆปีมักจะสอบช่วงนี้ จึงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก *ถ้าขาดสอบโดยเฉพาะวิชา GAT ก็จะหมดสิทธิ์แอดมิชชันเลยครับ! สนามนี้ผมลงสอบ 3 วิชาครับ ได้แก่ GAT, PAT1(คณิตศาสตร์)และ PAT7.1(ภาษาฝรั่งเศส) ครับ *เราไม่จำเป็นต้องลงทุกวิชาที่เปิดสอบนะครับ เลือกเฉพาะวิชาที่เราต้องใช้ไปแอดในคณะที่เราต้องการก็พอครับ เพราะฉะนั้น*ก่อนตัดสินใจสมัครสอบวิชาใดวิชาหนึ่งโปรดอ่านสัดส่วนคะแนนของคณะในฝันของเราด้วยครับว่าใช้องค์ประกอบคะแนนจากวิชาใดบ้าง จะได้ไม่เสียเงิน เสียเวลา และเสียคะแนนไปฟรีๆครับ
1.1)GAT พาร์ทภาษาไทย (เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 150 คะแนน)***ไม่มีหลักภาษา ไม่มีวรรณคดี ไม่ต้องอ่านมานะครับ มีแต่บทความยาวๆมาให้แยกส่วนประกอบแล้วเชื่อมโยงกัน แนะนำว่าให้ทำข้อสอบเก่ามาให้ได้มากที่สุดครับ วันสอบจริงจะได้ไม่ต้องมานั่งทำความเข้าใจใหม่ เพราะต้องอาศัยทักษะการอ่านจับใจความที่ต้องไวกว่าปกติมาก หาคีย์เวิร์ดให้เจอแล้วแบ่งเวลาไว้ฝนคำตอบด้วยนะครับ อย่ามัวแต่ร่างคำตอบเพลิดเพลินกับปากกาหลากสีอยู่ และตอบอะไรไปแล้วขอให้มั่นใจครับอย่าลังเลที่จะฝน ฝนไปก่อนให้เสร็จเพราะต้องฝนเยอะมากแล้วค่อยมาตรวจทานอีกที อย่าเป็นเหมือนผมที่ชวดคะแนนเต็มไปเพราะมัวแต่เช็คคำตอบจนเสียคะแนน 40 คะแนน ทั้งๆที่ตอบถูกหมดไปอย่างน่าเสียดาย *ดังนั้นสำหรับพาร์ทไทยการทำข้อสอบเก่าคือวิธีการเตรียมตัวที่ดีที่สุดครับ เข้าใจข้อสอบได้เร็วเท่าไร ยิ่งดี ทุกคนมีสิทธิ์ได้คะแนนเต็มครับ ขอแค่อ่านอย่างมีสติ และแบ่งเวลาทำข้อสอบให้ทันเวลาด้วยครับ :D
1.2)GAT พาร์ทภาษาอังกฤษ (เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 150 คะแนน) *ข้อสอบมี 60 ข้อ 5 ตัวเลือก ข้อละ 2.5 คะแนน ไม่มีอัตนัยครับ พาร์ทนี้เรียกได้ว่าเป็นพาร์ทหักคะแนนเลยก็ว่าได้ครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะได้คะแนนดีกันในพาร์ทภาษาไทย แลัวมาโดนสกัดดาวรุ่งด้วยพาร์ทนี้ครับ พาร์ทภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.2.1) Speaking 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทนี้จะเป็นบทสนทนาทั้ง Short conversation และ Long conversation ครับ ศัพท์ในส่วนนี้ไม่ยากมากครับ เน้นใช้ในชีวิตประจำวัน มีสำนวนบ้าง แนะนำให้อ่านอย่างมีสติ เก็บคะแนนส่วนนี้ให้มากที่สุดได้เต็มไปเลยยิ่งดีครับ
1.2.2) Vocabulary 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทคำศัพท์ครับ *บอกเลยว่าศัพท์ค่อนข้างยากครับ ใครมีคลังศัพท์ในหัวมาก มีชัยไปกว่าครึ่ง ในพาร์ทนี้ยังสามารถแยกย่อยไปได้อีก ดังนี้ครับ
-Synonym test ประมาณ 5 ข้อครับ คือจะมีประโยคมาประโยคหนึ่งแล้วจะมีคำศัพท์หนึ่งคำในประโยคนั้นถูกขีดเส้นใต้เอาไว้ เราก็ต้องหาคำพ้องความหมายของศัพท์ที่ขีดเส้นใต้เอาไว้จากในตัวเลือกทั้ง 5 ตัวเลือกครับเช่น
1. Nintendo took a six-place drop from the top spot after three consecutive years of winning the game developer competition.
1. persistent 2. functional 3. concurrent 4. successive 5. possessive
-Meaning in Context ประมาณ 5-10 ข้อครับ จะมีประโยคมาแล้วเว้นช่องว่างให้เราเลือกศัพท์ที่เหมาะสมจากในตัวเลือกมาเติมครับ เช่น
2. Narikun was __________ with the photo I took of her, and she gave me every____________ to continue taking a photograph.
1. impressed, passion
2. jubilant, blessing
3. delighted, encouragement
4. diligent, desire
5. annoyed, fate
-Meaning Recognition ประมาณ 5 ข้อครับ จะเป็นประโยคและมีคำศัพท์คำหนึ่งถูกขีดเส้นใต้ไว้ ส่วนในตัวเลือกก็จะมีลักษณะเดียวกันกล่าวคือเป็นประโยคและขีดเส้นใต้คำศัพท์คำเดียวกันกับในโจทย์ทุกประการครับ ในภาษาอังกฤษนั้นคำศัพท์หนึ่งคำสามารถมีความหมายได้มากกว่า 1 ความหมาย พาร์ทนี้จึงวัดเรื่องบริบทของคำศัพท์ครับ เช่น
3. People are dying because this President refuses to face the truth.
1. The postcard shows a view of the magnificently carved west face of the cathedral.
2. She tried to save face by inventing a story about being overseas at the time.
3. In his dream he saw the face of the goddess looking down upon her people.
4. He thinks he would lose face if he admitted the mistake.
5. I think Phil has to face the fact that she no longer loves him.
ดังนั้นในส่วนของคำศัพท์ต้องเตรียมตัวท่องศัพท์ให้หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ จำอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องลองนำศัพท์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ด้วย เช่นนำมาแต่งประโยค เขียนไดอารี เขียนบรรยายเรื่องราวต่างๆลง Facebook หรือ Social networkอื่นๆ ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการฝึกพาร์ทคำศัพท์ และช่วยในเรื่องของไวยากรณ์ได้ดีอีกด้วยครับ
1.2.3 Reading 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทการอ่านครับ เป็นพาร์ทปราบเซียนสำหรับผมเลยครับ ข้อสอบปีล่าสุดมีทั้งหมด 4 passages ครับ แต่ละ passages ไม่ยาวมากครับประมาณ 1 หน้า แต่บอกเลยว่าอ่านไปงงไปครับ มันวนไปวนมา คำศัพท์ก็ยากอีกต่างหาก ถ้าอยากเก็บพาร์ทนี้ให้ได้คะแนนดีๆ แนะนำให้ไปอ่านบทความข่าวภาษาอังกฤษมามากๆเลยครับ เพราะจะช่วยได้มาก
1.2.4 Structure&Writing 15 ข้อ (คะแนนเต็ม 37.5 คะแนน) พาร์ทไวยากรณ์ หรือ แกรมมาที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีนี่เองครับ พาร์ทนี้ถ้าใครแม่นๆเก็บคะแนนได้ไม่ยากครับ ความรู้สึกส่วนตัวผมรู้สึกว่าทำแล้วรู้สึกสบายกว่าพาร์ทคำศัพท์ และการอ่านครับ พาร์ทนี้สามารถแบ่งได้เป็นพาร์ทย่อยได้ ดังนี้
-Error 5 ข้อครับ คือจะมีประโยคหนึ่งมาแล้วจะมีคำที่ถูกขีดเส้นใต้มา 5 ตัวให้เราหาจุดผิดจากคำที่ขีดเส้นใต้เหล่านั้นแล้วเลือกตอบมาหนึ่งตัวครับ เช่น
4. Narikun(1) studying at school of medicine, Chulalongkorn university (2) teaches Solsamakun; her boy friend; only how to follow her direction in (3) solving routine problems, but do not teach him how to think (4) critical or to solve (5) non-routine problems.
-Cloze test 5 ข้อครับ คือการเติมประโยคนั่นเอง จะมีบทความยาวประมาณครึ่งหน้ากระดาษครับ แล้วมีช่องว่างคั่นไว้อยู่ ในช่องว่างนั้นจะมีเลขข้อกำกับไว้อยู่ด้วยครับ ให้เราหาคำตอบจากตัวเลือกของแต่ละข้อให้ถูกต้องครับ เช่น
______1______ the massive success of the recent film Freelance, GTH will release the teen movie May Nhai Fai Rang Foer (May Who?) on October 1. Directed by Chayanop Boonprakob, who ______2______ 2011’s coming of age movie Suckseed, May Who? is the story of May Nhai (Sutatta Udomsilp), ______3______ she’s trying to hide. If her heart beats ______4______, her body generates electricity which can be felt by people who touch her.
Two young actors from Hormones the Series, Thanapob Leeratanakachorn (Tor) and Thiti Mahayotaruk (Bank), have supporting roles in the film. Tor plays a popular basketball player, Fame, who makes May Nhai’s heart pound ______5______ he’s around her. Bank plays the introverted Pong, who accidentally discovers May Nhai’s secret. May Nhai then has to help Pong impress the popular Ming (Frung Narikun), who he has a crush on.
1.Follow 2. in accordance 3.Since 4. Following 5.Accordingly
-Writing 5 ข้อครับ จะมีบทความมาให้อ่านแล้วมีช่องว่างที่ต้องเติมครับ คล้ายๆกับพาร์ทด้านบน แต่มีให้ตอบคำถามจากในเนื้อเรื่องด้วย เช่น
(A) Most teachers agree that _______________. (B) One reason is that homework gives students additional practice of skills covered in class. (C) Another reason for home work is that it provides time to complete longer assignments. (D) For example, the ideal composition process allows time for students to think and to reflect on their ideas, as well as time to revise and to proofread their writing. (E) reports and special projects often require research that cannot be done at school. (F) In addition, not all students work at the same speed (G) Giving students time at home to finish work keeps them from falling behind. (H) Finally, the most important reason for homework is that it ensures review. (I) New material and old material focus on different topics. (J) Students who do their homework daily are prepared for tests and make better grades. (K) _________________.
A. Which one best completes the topic sentence (A)?
1. time spent on homework needs to be increased
2. students are actively involved in a learning process
3. a classroom material encourages students to think and revise
4. homework is an important part of learning process
5. students get better grades
ดังนั้นในพาร์ทไวยากรณ์ควรเน้นทำข้อสอบเก่าเยอะๆครับ แกรมมาไม่ควรเน้นท่องจำครับไม่ได้ใช้ลืมแน่ๆ ทำข้อสอบเก่าแล้วนำมาใช้ด้วยครับเช่นเขียนไดอารี ติดขัดตรงไหนก็หาข้อมูลได้ในพจนานุกรมแบบอังกฤษ-อังกฤษออนไลน์ จะมีบอกแกรมมาของคำศัพท์แต่ละคำว่าถ้าใช้ในความหมายนี้ต้องใช้คู่กับ preposition ตัวไหน ใช้ในกรณีใด หรือสามารถสอบถามในเว็บบอร์ดสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ก็ได้ครับได้ทักษะการอ่านและการเขียนเพิ่มมาอีก กำไรทั้งนั้นครับ
สรุป ในส่วนของ GAT พาร์ทภาษาอังกฤษ ใครมีพื้นฐานดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ ใครที่ยังไม่แม่นรีบไปฟื้นฟูด่วนครับ เช่นไปศึกษาด้วยตนเองจากหนังสือ และอินเทอร์เน็ต หรือถ้ามีกำลังทรัพย์มากพอไปลงเรียนพิเศษไว้ก็ไม่เสียหายครับ ถ้าตั้งใจจริงก็เก่งขึ้นได้แน่นอนครับ และอย่าลืมช่วงเดือนสุดท้ายก่อนสอบหมั่นตะลุยข้อสอบเก่าให้ครบจะได้รู้ตัวเองว่าพลาดจุดไหน แต่ปีผมเป็นปีแรกที่ข้อสอบ GAT ปรับเพิ่มเป็น 5 ตัวเลือก และมีความยากเพิ่มมากขึ้นจากข้อสอบเก่าๆมาก จึงอยากแนะนำน้องๆว่าให้ไปฝึกทำข้อสอบที่ยากกว่าข้อสอบเก่าด้วยเช่น TU-GET, CU-TEP หรือ 9วิชาสามัญก็จะยิ่งดีครับ เวลาข้อสอบยากขึ้นจะได้ไม่เหวออแบบผม 55555ถ้าตั้งใจได้ตามนี้สม่ำเสมอคะแนนพาร์ทอังกฤษ 100 up และทั้งพาร์ทไทย+อังกฤษ 250up ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนครับ สู้ๆ!!! Hang in there!!!
1.3)PAT7.1 ภาษาฝรั่งเศส (เวลาสอบ 3 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 300 คะแนน)***ข้อสอบมี 100 ข้อครับ ไปผัน Verbe ท่องศัพท์มาให้ดี แบ่งเป็นพาร์ท Dialogue หรือบทสนทนานั่นเอง ไปโรงเรียน ไปซื้อน้ำ ไปซูเปอร์มาเก็ต ไปดูหนัง เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว ไปเดท คุยกับครู คุยกับเพื่อน ป่วยไปหาหมอ ทุกอย่างในชีวิตประจำวันก็ว่าได้ครับ ใครคลังศัพท์เยอะ แปลได้จะทำได้สบายๆครับ มีพวกสำนวนด้วยบางข้อ พาร์ท Vocabulaire หรือคำศัพท์ Synonyme Antonyme Homonyme บลาๆศัพท์ในหัวเยอะได้เปรียบอีกเช่นเคย พาร์ท Lecture หรือการอ่าน บทความไม่ยาวครับ แต่มีหลายบทความมาก ป้ายโฆษณาก็มี ศัพท์จำเป็นมาก แต่ศัพท์ไม่ยากมากครับ และคำตอบมักอยู่ในบทความอยู่แล้ว ขอแค่ตั้งใจอ่านดีดีครับอย่าเพิ่งฟุบลงไปนอนกับโต๊ะก็เก็บคะแนนพาร์ทนี้ได้ไม่ยากครับ พาร์ท Grammaire ไวยากรณ์ใครผัน verbe แม่น ท่องtemps แม่น เล่นแร่แปรธาตุสลับประธาน กริยา กรรม แปลงนู่นนี่แม่น พาร์ทนี้จะหมูครับ แต่สำหรับผมขอบายครับ 555555 และพาร์ท Culture หรือวัฒนธรรมพาร์ทนี้กว้างมากแต่ออกน้อยมากกกกกครับ ใครแม่นเรื่องแม่น้ำ สถานที่ในปารีส ชื่อถนน ชื่ออนุเสาวรีย์ สถานที่ท่องเที่ยว อาหารฝรั่งเศส วันสำคัญต่างๆ ชื่อประธานาธิบดี ใครอินกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ วรรณกรรม วัฒนธรรมฝรั่งเศส แล้วจะมาเก็บคะแนนพาร์ทนี้ก็ยินดีด้วยครับ คุณผ่านนนน!!!!
ดังนั้นอยากเก็บคะแนนฝรั่งเศสเกิน 150 ท่องศัพท์เยอะๆ หมั่นผัน Verbe กระจาย Verbe อ่านบทความฝรั่งเศส หัดแต่งประโยค เขียนไดอารีเป็นภาษาฝรั่งเศส ก่อนสอบ 1 เดือนตะลุยข้อสอบเก่าครับ จับเวลาด้วย ผิดตรงไหนก็ทบทวนส่วนนั้นด้วยครับ ตอนสอบมีสมาธิไม่ท้อ ไม่หลับ ทำให้ครบ อ่านทุกตัวอักษร หมั่นทำให้ได้สม่ำเสมอแบบนี้ เผลอๆได้เกิน 200 ครับ อย่าอคติกับมันแบบผมไม่ดีๆ 55555555 Bon courage!!!!!!
2.) 9 วิชาสามัญ สนามนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการแอดมิชชันใดใดครับ ใครที่มุ่งมั่นจะแอดมิชชันอย่างเดียวไม่ต้องสอบก็ได้ สนามนี้สำหรับน้องๆที่อยากเป็นแพทย์ และอยากสมัครรับตรง หรือสนใจจะมาลองข้อสอบก็ไม่เกี่ยงครับ เช่นผมเพราะคณะภารกิจของผมมีแต่รอบแอดมิชชันครับ สนามนี้สอบช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคม หรือต้นเดือนมกราคมครับ ผมสมัครสอบไว้ 3 วิชาครับ คือ ภาษาไทย สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ จึงขอมาเล่าเฉพาะ 3 วิชานี้ครับ
2.1 ภาษาไทย (50 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง) วิชานี้สอบเป็นวิชาแรกเลยครับ ไม่เน้นหลักภาษา และวรรณคดีอีกเช่นเคย เน้นการคิดวิเคราะห์เป็นหลักครับ อ่านไปมึนไปครับเพราะผมแทบไม่ได้เตรียมตัว แต่ข้อสอบไม่ยากครับ ถ้ามีสมาธิดีๆ ใครตั้งใจอ่านมา และมีสมาธิดีๆ คะแนน 70up สามารถคว้าไว้ได้ไม่ยากเย็นเลยครับ :)
2.2 สังคมศึกษา (50 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง) วิชาที่โคตรปราบเซียน และยากมากครับ วิชานี้น้องหนูๆต้องรู้รอบครอบจักรวาลครับ แบ่งเป็น 4 พาร์ทคือ ศาสนา ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และ ภูมิศาสตร์ครับ ไปอ่านมาให้ดีครับวันสำคัญทางศาสนาทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม และพราหมณ์-ฮินดู อ่อบางปีศาสนาสิกข์ก็มาขอแจมด้วยครับ 5555 กฎหมายผมขอข้ามไม่สันทัด ประวัติศาสตร์ไปเจาะลึกช่วงสงครามโลกมาให้ดีครับ ภูมิศาสตร์ใครชอบดูแผนที่นี่สบายเลยไปดูมานะครับ สีเขียวหมายถึงอะไร สีแดงหมายถึงอะไร อุปกรณ์ทางภูมิศาสตร์มีอะไรบ้าง ทิศไหนเหมาะแก่การสร้างบ้าน ความสูงระดับนี้จากระดับน้ำทะเลจะมีพันธุ์ไม้อะไรอาศัยอยู่พวกนี้ออกสอบหมดครับ ผมโดนมากับตัว 5555 ใครแม่นศาสนา ใครอยากเข้านิติกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบตรงอยู่จะได้เปรียบพาร์ทกฏหมาย และประวัติศาสตร์มาก ส่วนภูมิศาสตร์นี่แล้วแต่ดวงครับ ยิ่งเตรียมตัวมากเท่าไหร่โอกาสผ่านครึ่งมีมากเท่านั้นครับ โชคดี ^^
2.3 ภาษาอังกฤษ (80 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 1.30 ชั่วโมง) ต้องแข่งกับเวลาอย่างเดียวครับสำหรับวิชานี้ เพราะข้อเยอะแล้วยังให้อ่านเยอะอีก ใครแม่น ใครแปลเร็ว จะได้เปรียบมากครับ ข้อสอบคล้ายๆ GAT ครับ (แต่ผมว่า GAT ยากกว่า) เน้นด้านการอ่านและคำศัพท์จะออกแนววิชาการ มีศัพท์แพทย์อยู่ด้วย บทสนทนาก็ค่อนข้างยาวและคุยกันมีสาระครับ อ่านสนุกแน่นอน สอดแทรกมุกตลกร้ายในข้อสอบ ทำไปขำไป เสียงออดเตือนอีก 10 นาทีหมดเวลาดังปุ๊บรู้เลยว่าทำไม่ทัน กรรม 55555 ไปฝึกทำข้อสอบเก่าแล้วจับเวลาทำดีดีครับ จับให้เร็วกว่าเวลาจริงไว้จะดีมาก เพราะวันจริงจะชอบมีปัญหายิบย่อยมากวนเราได้ตลอด ตั้งสมาธิให้มั่น เลือกตอบไปแล้วอย่าได้ลังเลครับ เวลาผ่านไปไวมากครับสำหรับวิชานี้ ถ้าเตรียมตัวกับ GAT มาหนักแล้ว การได้ 50 up จะไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ ทำได้ๆ :)
3.O-NET สนามนี้เป็นสนามที่สำคัญมาก ถ้าขาดสอบจะไม่มีสิทธ์แอดมิชชันได้เลย สำหรับน้องๆที่อยากเป็นหมอก็ขาดคะแนนในส่วนนี้ไม่ได้เช่นกัน สนามนี้สอบช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ครับ ปีผมเป็นปีแรกที่มีการปรับลดจากสอบ 8 วิชา เหลือสอบ 5 วิชา ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาครับ ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละวิชายาก-ง่ายขนาดไหนก็ตามมาเลยครับ!
3.1คณิตศาสตร์ (ปรนัย 32 ข้อ, อัตนัย 8 ข้อ : คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) ออกพื้นฐานทั้งหมดที่เรียนตอน ม.ปลายครับ อาทิพีชคณิต ความน่าจะเป็น จำนวนนับ การวัด และอื่นๆครับ มีโจทย์ปัญหาวัดเชาวน์ปัญญาด้วยครับ สำหรับสายวิทย์น่าจะทำได้สบายๆครับ ส่วนสายศิลป์ถ้าตั้งใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก็เอื้อมถึง 50 คะแนนได้ไม่ยากครับ สำหรับผมขอบายอีกเช่นกันได้เกินมีนก็เป็นบุญละครับ สู้ๆ ^^
3.2สังคมศึกษา(ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ80 ข้อ,ปรนัย5 ตัวเลือก2 คำตอบ10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) ยากอีกตามเคยสำหรับวิชานี้ แนวข้อสอบคล้ายๆ 9 วิชาฯครับ ออกเรื่องศาสนา ถามเรื่องวันสำคัญทางพุทธศาสนา เครื่องอัฐบริขาร พุทธศาสนาสุภาษิต หลักธรรมคำสอนต่างๆครับ เน้นศาสนาพุทธเป็นหลักครับไปอ่านมาให้ดี กฏหมายในส่วนนี้ไม่ถนัดอีกตามเคยใช้สามัญสำนึกล้วนๆครับ ประวัติศาสตร์ถ้าตั้งใจเรียนในห้องกับชอบอ่านหนังสือจะทำได้ไม่ยากครับ เมโสโปเตเมีย ใครประดิษฐ์เลข 0 อักษรโบราณ ยุคหิน ยุคสำริด สงครามเย็น สงครามโลก สนธิสัญญาการค้าต่างๆ สังคมกรีก-โรมัน บลาๆ ***อยุธยา สุโขทัยไม่ค่อยออกแล้วครับ ภูมิศาสตร์ สนธิสัญญามอนทรีออล ไซเตส แแรมซา ภูมิประเทศแต่ละภาคในไทย กระแสน้ำอุ่น กระแสน้ำเย็น ลานีญ่า เอลนีโญ่ เขตภูมิอากาศ ป่าฝนเมืองร้อน อบอุ่น ทุนดรา ไทก้า การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ พืชพันธุ์ สัตว์ป่าต่างๆ ไปอ่านมาให้ดีนะครับ ใครชอบอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้อง คว้า 50 คะแนนขึ้นไปได้ไม่เหนื่อยเกินไปเลยครับ ตั้งใจนะครับ ฮึบ ฮึบ :D
3.3ภาษาอังกฤษ (ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ80 ข้อ,ปรนัยหลายตัวเลือก1 คำตอบ10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) ภาษาอังกฤษ O-NET เน้นไวยากรณ์ครับ คำศัพท์ไม่ยากเท่า GAT และ9วิชาฯครับ ใครเตรียมตัวสองสนามแรกมาดีจะได้กำไรวิชานี้มาก มีบทสนทนา, cloze test, reading และป้ายโฆษณาครับ แต่พาร์ทปราบเซียนอยู่ที่ 20 ข้อสุดท้ายครับคือพาร์ท error เพราะยากกว่า error ใน GAT (ต้องขอขอบคุณคุณครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนของผมเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะท่านให้ชีท Error มาทำเป็นร้อยๆข้อจนผมชินกับ Error มากขึ้น ทำให้พอต่อสู้กับ O-NET ได้ครับ) และหาจุดผิดไม่พอแต่ต้องแก้ให้ถูกด้วยครับ เช่น
81. Stella (1) carefully hid all her jewelry (2) in the cabinet (3) in case she was afraid that it (4) would be stolen.
1. A. carefully hides
B. hides carefully
C. has carefully hidden
D. was carefully hidden
2. A. at
B. by a
C. under
D. above the
3. A. so
B. but
C. because
D. whereas
4. A. will steal
B. was stolen
C. would sftal
D. will be stolen
สมมติว่าหาจุดผิดเจอแล้วคือข้อ 3 ก็ต้องดูตัวเลือกในข้อ 3 ด้วยนะครับว่าต้องแก้เป็นอะไร สมมติแก้เป็นข้อ C ก็ฝนช่อง C ในกล่องข้อ 3 ลงไปตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ
***ข้อสอบ O-NET ภาษาอังกฤษ พาร์ท Error ออกแบบนี้ และฝนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 54 แล้วครับ และคิดว่าปีนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยน น้องๆหนูๆโชคดีแล้วครับที่ได้ศึกษาวิธีการทำพาร์ทนี้ก่อน จากเอนทรี่นี้ เพราะเพื่อนผมหลายคนพลาดตรงจุดนี้เพราะคิดว่าต้องแก้ทุกข้อ เลยฝนทุกช่องไป เสียคะแนน 20 คะแนนไปฟรีๆเลยนะครับ!!! เพราะฉะนั้นก่อนสอบอ่านระเบียบการ และวิธีการทำข้อสอบมาให้ดีนะครับจะได้ไม่เสียคะแนน
ดังนั้นใครเตรียมตัวภาษาอังกฤษตอน GAT และ9 วิชาสามัญมาดีแล้ว มาทบทวนนิดๆหน่อยๆ จะคว้าคะแนน 60 up ใน O-NET ได้ไม่ยากเลยครับ *สำหรับใครที่อยากเข้าเอกอังกฤษควรทำคะแนน O-NETภาษาอังกฤษให้ได้ 75 คะแนนขึ้นไปนะครับ แล้วน้องจะมีสิทธิ์สมัครได้ทุกที่เลยเพราะส่วนมากกำหนดคะแนน O-NET ภาษาอังกฤษไว้ที่ 50 คะแนน ส่วนของธรรมศาสตร์กำหนดขั้นต่ำไว้ 75 คะแนน! สู้ๆครับ :D
3.4ภาษาไทย(ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ 70ข้อ,ความคิดเชื่อมโยง10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) วิชานี้เป็นวิชาที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนระดับประเทศสูงที่สุด และคนส่วนใหญ่รู้สึกสบายใจที่สุดเวลาทำ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำให้ดีนะครับ ตัวข้อสอบคล้ายๆกับ 9 วิชาสามัญครับ แต่มีพาร์ทหลักภาษา และวรรณคดีด้วย แต่เน้นอ่านคิดวิเคราะห์เป็นหลักครับ เนื่องจากข้อสอบเน้นอ่านน้องๆตั้งสมาธิดีๆนะครับเวลาทำ และอย่าอ่านช้าจนเกินไปจะทำไม่ทันเอานะครับ ผมใช้วิธีอ่านแล้วตัดตัวเลือกเอา ข้อสอบแบบนี้ควรทำข้อสอบเก่ามามากๆครับ ใครเตรียมวิชาสามัญมาเยอะแล้วจะค่อนข้างสบาย ในส่วนของหลักภาษาไปแยกประเภทคำเป็น คำตาย คำครุ ลหุ มาตราตัวสะกด คำไทย คำบาลี คำสันสกฤต คำเขมร ไปแยกมาให้แม่นเลยนะครับ ส่วนของวรรณกรรมไปท่องผังกลอนมาครับ กลอนสุภาพ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง โคลงสี่สุภาพมานะครับ*ออกทุกปี ใน O-NET ผมเตรียมตัววิชาภาษาไทยมามากที่สุดครับแต่ก็ทำไม่ทันไปประมาณ 2-3 ข้ออยู่ดี T_T สู้ๆครับ ถ้ารอบคอบ ไม่เบลอ ไม่ง่วง พักผ่อนเพียงพอ คะแนน 70 up ไม่หลุดมือแน่นอนครับ!
3.5วิทยาศาสตร์ (ปรนัย5 ตัวเลือก1 คำตอบ 80ข้อ,หลายตัวเลือกมากกว่า 1 คำตอบ10 ข้อ:คะแนนเต็ม100 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง) มาแล้วครับวิชาปิดท้าย O-NET และสร้างควรปวดเศียรเวียนเกล้าให้ทั้งเด็กสายวิทย์ และสายศิลป์ได้เป็นอย่างดี ข้อสอบออกครอบคลุมทั้ง ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และโลกดาราศาสตร์ และอวกาศครับ แต่เน้นฟิสิกส์เป็นพิเศษครับ ก็มีข้อที่ทั้งพื้นฐานและไม่พื้นฐานครับ สำหรับเด็กสายศิลป์อย่างผมแล้วเจอพาร์ทฟิสิกส์ปุ๊บขอเสี่ยงดวงเลยแล้วกัน บางเรื่องก็ไม่เคยเรียนมาก่อนจริงๆครับ ไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอื่นยังงี้ คำนวณว่าสัญญาณจะส่งไปถึงดาวดวงนั้นใช้เวลาเท่าไหร่ สายศิลป์อย่างผมยกธงขาวเลยครับ แต่ก็มีส่วนที่ทำได้ครับพวก สิ่งมีชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของโลก ดาราศาสตร์และจักรวาล กับไดโนเสาร์ครับ อะไรที่เป็นคำนวน กับเคมี ธาตุต่างๆนี่เดาอย่างเดียว 55555 สำหรับน้องๆสายวิทย์คิดว่า 50 up ไม่ยากเกินไปแน่นอนครับ สำหรับสายศิลป์ตั้งใจเรียนในห้องนะครับ อ่านเพิ่มเติมอีกนิดคะแนนก็เฉียด 50 ได้ไม่ยากครับ ผมขาดอีกคะแนนเดียว ตั้งเป้าไว้ 50 เจ็บใจจจจ!!!! 555555 สู้ๆครับ :)
4.)GAT/PAT รอบที่ 2 (เวลาสอบ 3 ชั่วโมง : คะแนนเต็ม 300 คะแนน) สำหรับการสอบรอบ 2 ถ้าพอใจคะแนนรอบแรกแล้ว ไม่ต้องลงสอบก็ได้ครับ ผมลงสอบไว้เพราะคะแนนรอบแรกแย่แบบผิดคาดมาก เลยอยากมาแก้มือใหม่ เพราะคะแนนพาผมไปไม่ถึงคณะในฝันแน่ๆถ้าใช้คะแนนรอบแรก ผมลง 3 วิชาเหมือนรอบแรกครับ GAT,PAT1 และ PAT7.1ครับ สำหรับ GAT/PAT รอบ 2 จะจัดสอบในช่วงต้นเดือน มีนาคมครับ ก่อนผมสอบผมมักได้ยินพวกรุ่นพี่บอกว่า "รอบสองมักยากกว่าแล้วแรก" กับ "ถ้าจะทำคะแนนทำรอบแรกให้ดีไปเลย เพราะรอบสองคะแนนขึ้นยาก" ส่วนใหญ่มักพูดกันแบบนี้ครับ ผมนี่เครียดสิครับจะต้องซิ่วไหมเนี่ย 5555 สำหรับรอบแรกผมเตรียมตัวทำข้อสอบเก่ามาครบทุกชุดแล้ว รอบสองผมก็ทำซ้ำอีกครั้งแต่จับเวลาให้เร็วกว่าเวลาจริงเพื่อที่ว่าจะได้ไม่มานั่งเสียใจถ้าทำไม่ทันอีก นอกจากข้อสอบเก่าที่ผมทำไปถึงสมัยปี 30 แล้ว คะแนนออกมาก็ดีครับเป็นที่น่าพอใจ ส่วนวันจริงจะเป็นอย่างไรนั้นผมจะมาบรรยายให้อ่านครับ ^^
4.1 GAT พาร์ทไทยรู้สึกว่าง่ายขึ้นครับ ฝนทันด้วย รู้สึกว่าอะไรดีดีกำลังจะเกิดขึ้น โลกสวยงามขึ้นมาทันใด
GAT พาร์ทอังกฤษยากกว่ารอบแรกที่ว่ายากแล้วอีกครับ บทสนทนามีความ Advanced ขึ้นมาก คำศัพท์ก็เช่นกัน การอ่านก็ไม่น้อยหน้าครับ ซบอกพาร์ทไวยากรณ์ดีกว่าช่วยข้าน้อยด้วยครับ แถมฝนไม่ทันไปอีกกว่า 15 ข้อ คะแนนหายไป กว่า 50 คะแนน คิดเป็นคะแนนแอดก็เสียหายเป็นพันครับ T___T หลังทำพาร์ทอังกฤษเสร็จรู้ตัวเองเลยครับ ตูคงต้องซิ่วเป็นแน่แท้ โลกมือมนขึ้นมาทันใด พ่อกับแม่จะเข้าใจผมไหม ท่านจะอายขายขี้หน้าหรือเปล่า? จิตตกเลยครับ
4.2 PAT7.1 ภาษาฝรั่งเศส รอบสองผมเตรียมตัวน้อยกว่ารอบแรกครับสำหรับฝรั่งเศสเพราะปลง 555 ข้อสอบง่ายขึ้นครับ ทำได้หลายข้อ แปลลื่นไหลขึ้น ถ้าอ่านมากกว่านี้คงได้ 180 up ไปแล้ว 555555 แต่ถึงคะแนนจะง่ายขึ้นอย่างไร ก็ไม่สามารถบรรเทาความเศร้าจากการทำ GAT อังกฤษไม่ทันได้หรอกครับ T_T
เคยรู้สึกลังเล หรือท้อแท้ไหม?
ลังเล
มีอยู่ช่วงนึงตอน ม.5 เทอม 2 ผมรู้สึกไม่อยากสู้กับคณะภารกิจอีกแล้ว เพราะรู้สึกมันยากและหนักเกินไป จึงนอกใจมามอง คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแทน หาข้อมูลอยู่นานก็พบว่าตัวเองสนใจสาขานี้เหมือนกันครับ เพราะชอบเรียนวิชาสังคม กับภาษาอยู่แล้วเลยคิดว่าจะไปด้วยกันได้ ดูคะแนนแล้วก็พอไปได้นะ ตอนนั้นผมมองธรรมศาสตร์ไว้ แถมมีสอบตรงด้วย ไปไปมามาไม่รู้อะไรมาดลใจครับเกิดอยากเป็นสิงห์ดำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นมาอีกเลยตั้งเป้าว่าอยากเข้า คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่จุฬาฯ ก็ธรรมศาสตร์แทน ช่วงม.6 ผมเลยโฟกัสคณะนี้มาตลอด เริ่มเอาตัวเองมาสนใจข่าวการเมือง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่ค่อยจะได้ตาม ใครมาถามก็บอกว่าอยากเข้าคณะนี้ เริ่มพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองให้ดีขึ้น จนท้ายที่สุดแล้วตอนเลือกอันดับแอดมิชชันกลับใส่คณะนี้ไว้อันดับ 2 กับ 3 แทนเพราะพบว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้อยากเรียนสายนี้จริงจัง ไม่ใช่รัฐศาสตร์สาขาอะไรก็ได้ แต่ต้อง IR ไม่ใช่ที่ไหนก็ได้แต่ต้อง จุฬาฯ มธ. ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองยึดติดที่เปลือก รู้จักคณะนี้เพียงแค่เปลือกเท่านั้น อยากเรียนเพราะเท่ อยากเรียนเพราะอยากหนีความจริงที่คณะภารกิจมันเรียนยาก มันหนัก งานไม่มั่นคงเท่า อยากเรียนเพราะอยากได้รับการยอมรับจากสังคม ตอนเลือกอันดับแอดผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ใครถามก็บอกจะเข้า IR ถ้าเปลี่ยนแล้วพ่อแม่จะรู้สึกยังไง เพื่อนจะมองเราล้มเหลวไหม จะมองเราว่าโลเลไม่มั่นคงหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ตัดสินใจได้สติกลับมาหาสิ่งที่ผมชอบที่สุดตามเดิม และผมมั่นใจว่าผมจะทำมันให้ดีให้ได้
ท้อแท้
รู้สึกสิครับ รู้สึกมากด้วย หลังผลสอบ GAT-PAT รอบแรกประกาศทั้งๆที่เผื่อใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าคะแนนจะแย่ขนาดนั้น ผมได้คะแนน GAT แค่ 190.87 คะแนน จากคะแนนเต็ม 300 คะแนนครับ เวลาใครถามก็รู้สึกอายมากครับ ผมนอนไม่หลับตาบวมไปหลายคืน จึงตั้งใจจะไปล้างแค้นรอบสอง แต่พอรอบสองผมทำแกทอังกฤษไม่ทันอีก แถมไม่ทันไปตั้งแถวกว่า กระดาษคำตอบขาวจั๊วะเลยครับ ผมคิดเลยว่าคงได้ซิ่วแน่ๆ นอนไม่หลับ และน้ำตาคลอเลยครับ ได้แต่คิดว่าอะไรกันวะ เราเตรียมตัวมาตั้งเยอะ ทำข้อสอบเป็นพันๆข้อ ศัพท์ก็ท่องทุกวัน ไดอารีก็ฝึกเขียน ผมรู้ว่าตัวเองพัฒนาขึ้นมากในส่วนของภาษาอังกฤษ ในห้องเรียนคะแนนก็เกาะกลุ่มกับคนเก่งๆแล้ว แล้วเรายังพยายามไม่พออีกหรอ จนช่วงที่คะแนนโอเน็ตออกมาดีเกินคาดผมดีใจมากและคิดว่าเริ่มมีความหวังแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี ช่วงปิดเทอมผมจึงไปซื้อหนังสือเตรียมสอบมาอ่านซิ่วครับ เพราะคิดว่าคะแนน GAT/PATรอบสอง ก็คงไม่ช่วยอะไรหรอก ผมถึงขนาดตั้ง Worst case scenario ไว้เลยว่า GAT น่าจะได้ 220 คะแนน PAT7.1 น่าจะ 150 คะแนน และ PAT1 คงได้ 50 คะแนน พอผลออกมาจริงๆตอนนั้นผมกลับบ้านที่ยะลาพอดี คะแนนก็ออกมาตามที่คิดไว้เกือบเป๊ะเลยครับ พอคำนวนมาเป็นคะแนนแอดแล้วก็ไม่น่าเกลียด จัดว่าดีเลยด้วยซ้ำ เพราะเกรดกับ โอเน็ตช่วยไว้ แต่อย่างไรคณะที่ผมอยากเข้าคะแนนก็สูงมากเช่นกัน พอเห็นโอกาสติดที่ 50% แล้วก็เริ่มมีความหวังครับ แต่ก็ยังเลิกเศร้าและเครียดไม่ได้ เราทำได้ดีกว่านี้อีกอ่ะได้แต่แค้นตัวเองในใจ และก็เตรียมตัวซิ่วต่อไปT_T
มีวิธีเลือก 4อันดับแอดมิชชันอย่างไร และเลือกอะไรไปบ้าง?
ผมเลือกคณะที่ชอบทั้ง 4 อันดับเลยครับ อย่าเลือกแบบคณะอะไรก็ได้ขอแค่ให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยนั้น แบบนี้ไม่โอเคอย่างแรงครับ ไปปรับทัศนคติมาด่วน เพราะอย่าลืมนะครับว่าตลอด 4 ปีหลังจากนี้เราจะต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราเลือกนะครับ เพราะฉะนั้นเลือกคณะที่เราอยากเรียน ที่คิดว่าเรียนแล้วเรามีความสุขที่สุดครับ แล้วเราจะทำมันได้ดีไม่ว่าจะเรียนหนักหนาสาหัสแค่ไหนครับ แนะนำว่าทั้ง 4 อันดับที่เราจัดนี้ไม่ว่าจะติดอันดับไหน ถ้าเฮทุกอันดับก็เป็นใช้ได้ครับ รวมไปถึงต้องดูสถิติคะแนนสูงสุด-ต่ำสุดย้อนหลัง 3 ปีเป็นอย่างน้อยของคณะที่เราอยากเข้าให้ดีนะครับว่าเทียบกับคะแนนที่เรามีอยู่แล้วนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ให้มองโลกตามความเป็นจริงนะครับ ไม่ต้องเครียดกับผลลัพธ์ เราทำเต็มที่แล้วครับ :D .
*สำหรับเอนทรี่นี้ผมได้นำวิธีการเลือกอันดับแอดมิชชัน 4 อันดับให้ติดชัวร์มาแบ่งปันกันครับ
คณะอันดับ 1 เลือกคณะในฝันครับ คะแนนติดลบเท่าไหร่ก็เลือกไปถ้าเราอยากเรียนจริงๆ เพราะในปีพ.ศ. 2553 คะแนนคณะนิติศาสตร์ เลือกสอบวิชาฝรั่งเศส จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนนต่ำสุดก็เคยลดลงมาเหลือ 7,800 คะแนนมาแล้ว! เช่นเดียวกับคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนนต่ำสุดปี 2553 และ 2556 ก็เคยลดลงมาแตะระดับที่ 12,000 คะแนนด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นอันดับ 1 ไม่ต้องคิดมากครับอยากเรียนคณะไหน มหาวิทยาลัยไหนมากที่สุดก็เลือกได้เลย โอกาสเป็นของผู้กล้าทุกคนนะครับ :)
คณะอันดับ 2 อันดับ 2 นี้ควรเทียบคะแนนของเรากับคณะที่เราอยากเข้ารองลงมาได้แล้วนะครับ ไม่ควรให้คะแนนของเราต่ำกว่าคะแนนต่ำสุดของคณะที่เราอยากเข้าห่างกันเกินเกิน 1,000 คะแนนนะครับ
คณะอันดับ 3 อันดับนี้คะแนนของเราควรมากกว่าคณะที่เราเลือก 500-1,000 คะแนนขึ้นไปครับ เพื่อความปลอดภัย
คณะอันดับ 4 อันดับนี้เราจะหลุดไม่ได้ ถ้าหลุดหมายความเราแอดไม่ติดแล้วนะครับ ดังนั้นคะแนนควรบวกจากคณะที่เราเลือกประมาณ 1,500-2,000 คะแนนขึ้นไปครับ จะได้อุ่นใจว่าไม่หลุดแน่นอน
*ในความเป็นจริงแล้วการเลือกอันดับแอดมิชชันไม่มีรูปแบบตายตัวหรอกครับ สมมติเรามีคะแนนแอดอยู่ประมาณ 25,600 คงใช้วิธีการด้านบนไม่ได้แน่ๆ เพราะอย่างไรคะแนน 25,600 คงไม่มีทางแอดไม่ติดแน่นอนครับ เลือกคณะที่เราอยากเรียนที่สุดไว้อันดับเดียวก็ทำได้สบายๆ ไม่ต้องเลือกคณะสำรอง อันดับ2 3 4 ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีคะแนนแอดมิชชันอยู่ 10,000 การจะหาคณะที่คะแนนเราบวกเกิน 1,000 คะแนนขึ้นไปคงเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร และการจะเลือกคณะที่ชอบทั้ง 4 อันดับก็คงเป็นไปไม่ได้แน่ๆครับ เพราะฉะนั้นถ้าอยากใช้เกณฑ์การเลือกคณะดังที่ผมอธิบายข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเลือกคณะที่ชอบได้ทั้ง 4 อันดับ ควรทำคะแนนแอดมิชชันให้ได้มากกว่า 18,000 คะแนนขึ้นไปครับ
ตัวผมนั้นสนใจด้านภาษา และรัฐศาสตร์ครับ แต่อยากเรียนเอกภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นด้านภาษามากกว่า เลยเลือกคณะเรียงตามคะแนนและความชอบดังนี้ครับ
สรุป อย่างที่บอกครับการเลือกอันดับแอดมิชชันไม่มีแบบแผนตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับคะแนนที่น้องมีอยู่เป็นหลักว่าพอจะไปถึงคณะไหน ที่ไหนได้ จะไปถึงคณะที่เราชอบได้ทั้งหมด 4 อันดับหรือไม่ เพราะฉะนั้นตั้งใจอ่านหนังสือ แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง และตั้งใจทำข้อสอบให้ดี อย่าหลับ ทำให้เต็มเวลา ฝนให้ทันด้วย แล้วคะแนนจะออกมาดีเองครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ :D
แล้วมีเป้าหมายอย่างไรต่อไปหลังจากนี้?
ตอนนี้ผมกำลังฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐานอยู่ครับ เพราะผมจะต้องไปทำเกรดวิชาภาษาญี่ปุ่นให้ได้เกรด B ขึ้นไปจึงจะสามารถเข้าเอกญี่ปุ่นได้ ไม่เฉพาะการเข้าเอกญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ผมยังต้องการให้ตัวเองสามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน และทำงานระหว่างประเทศร่วมกันได้อย่างไหลลื่นครับ ผมก็ยังคงต้องฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นต่อไปจนแก่เลยล่ะครับ ภาษาอังกฤษก็เช่นกันครับ เพราะภาษาเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เราต้องใช้มันบ่อยๆครับ
เข้าคณะภารกิจได้แล้วกำลังใจสำคัญไหม?
กำลังใจสำคัญมากกว่าแรงกดดันครับ อยากขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ที่ไม่เคยบังคับให้ผมเรียนนู่นเรียนนี่ตามคนอื่นๆ ไม่เคยเปรียบเทียบผมกับเด็กคนอื่น และคอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่ห่างๆครับ รวมไปถึงคุณยาย และน้องชายของผมที่ผมต้องพยายามมากขึ้นเพื่อที่จะให้เขาเห็นผมเป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้
ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่เคยสั่งสอนผมมาครับ ความรู้สมัยประถมศึกษาสามารถนำมาต่อยอดใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เสมอครับ คุณครูสอนฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษตอน ม.ปลายที่ตั้งใจถ่ายทอดความรู้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ผมพัฒนาภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสมาได้จนพาผมเข้าคณะ และมหาวิทยาลัยในฝันได้ขอบใจเพื่อนๆทุกคนในห้องที่เคยเรียนร่วมกันมา ขอบใจเพื่อนที่สอบได้ที่ 1 ทุกคนที่เป็นแรงผลักดันให้ผมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ขอบใจเพื่อนอิ๋ม และเพื่อนซันที่เป็นกำลังใจ และให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง ขอบใจที่สอนภาษาญี่ปุ่น ให้ชีทภาษาญี่ปุ่่น และให้หนังสือภาษาญี่ปุ่นมาฝึกฝนด้วย ขอบใจเพื่อนเอิทที่ชวนไปติวฟรีกับครูพี่แนนทำให้ได้แนวข้อสอบปีล่าสุด ทำให้ได้ศัพท์กลับมาเป็นร้อยๆคำ 5555 รวมไปถึงคำพูดให้กำลังใจทุกคำที่มีให้มันยิ่งใหญ่มากจริงๆ สุดท้ายเราก็ เจอกันที่โดมนะ แซวเล่นกันอยู่ตั้งนานได้ไปเรียนจริงๆเลย 5555 ขอบใจเพื่อนปอที่บอกให้สอนการบ้าน สอน Error ทำให้ภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นมามากเพราะการไปสอนคน ทำให้ได้ทบทวนความรู้บ่อยๆ
ขอบคุณหนังสือทุกเล่มที่ผมเคยอ่าน ใครจะคิดว่าหนังสือการ์ตูนสมัยประถมก็ทำให้ผมทำข้อสอบวิทยาศาสตร์ได้ ขอบคุณที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน รักนายมากจริงๆ
ขอบใจคุณหมอนะ เจอกันที่งานบอล เราจะตามซีรีส์เธอตลอดไป รัก ^^
และท้ายที่สุดนี้ขอให้กำลังใจน้องๆทุกคนที่กำลังพบอุปสรรคไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไม่อยากให้เรียนคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้ก็ขอให้พิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้ หาเหตุผลดีๆมาคุยกับท่าน อย่าได้มีปากเสียงกันเลยนะครับ ถ้าใครครอบครัวโอเคด้วยก็ยินดีด้วยครับ อย่าลืมทำตามความฝันให้ได้ด้วย สู้ๆครับ :D
ปล.ใครมีคำถามอะไรสอบถามได้เลยนะครับ ลิงก์ข้อสอบต่างๆมาขอได้ครับ สู้ๆครับ :D
-SOLSAMA
-ソン
0 comments:
Post a Comment