Wednesday 20 June 2018

SAMA'S Story : ตะลอนเมืองลาว (EP.5) ชมวัดวาอาราม นมัสการพระธาตุหลวง สะบายดีปีใหม่


        สะบายดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ก่อนอื่นข้อยขอขอบใจพี่น้องทั้งหลายที่เข้ามาอ่าน และร่วมให้กำลังใจไปตลอดทริปเสมอมา จนตอนนี้มียอดอ่านกว่า ๖๐๐ ครั้งแล้ว ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ T//\\ T ในเอนทรี่นี้ผมจะพาทุกท่านไปเข้าวัดในเวียงจันทน์ ไปดูว่าในวันสงกรานต์ชาวลาวทำอะไรกันบ้าง และจะพาไปนมัสการพระธาตุหลวง พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองศูนย์รวมจิตใจของชาวลาวกันครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปสะสมแต้มบุญพร้อมกันเลย!

หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถคลิกกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เพื่อความต่อเนื่อง!

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


DAY-2 วันเสาร์ ที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์) 


นั่งจิบกาแฟ และทานเค้กจนหมดแล้ว เล่นไวไฟอัปเดตชีวิตผ่าน IG Story ให้เพื่อน ๆ รับรู้ว่ายังสบายดีก็แล้ว แต่ความรู้สึกที่ว่าเหมือนเวลาแทบจะไม่ขยับไปเลยก็ยังคงอยู่ เมื่อทนนั่งรออยู่เฉย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เหลือบมองดูเวลาเหลืออีกตั้ง ๒ ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเช็คอิน (๑๔:๐๐ น.) เพิ่งเที่ยงเอง จึงตัดสินใจเดินออกจากร้านกาแฟโจมา แล้วไปชมวัดสีสะเกด กับหอพระแก้วดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา เพราะช่วงบ่ายตั้งใจจะไปนมัสการทาดหลวง(พระธาตุหลวง) ซึ่งใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เดินออกมาจากร้านกาแฟโจมา ฝั่งตรงข้ามจะเป็นร้านอาหารขอบใจเด้อ ร้านอาหารลาวชื่อดังในเวียงจันทน์ ซึ่งในวันนี้คึกคักเป็นพิเศษเพราะมีทั้งเด็กน้อย ไปจนถึงผู้ใหญ่ทั้งชาวลาว และต่างชาติกำลังเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างครื้นเครง เพื่อป้องกันตนเอง และสัมภาระไม่ให้เปียกชุ่มผมจึงเลี่ยงไปเดินตรงฟุตปาธฝั่งตรงข้ามแทน

เดินตรงจากร้านกาแฟโจมาบนถนนเศรษฐาธิราช(Rue Setthathilath) ไปไม่ไกลจะเจอป้ายรถเมล์ประจำทางสถานีน้ำพุ ที่ป้ายรถเมล์มีชื่อป้ายระบุชัดเจนว่าตรงนี้คือที่ใด ทั้งภาษาลาว และภาษาอังกฤษ ฝั่งตรงข้ามป้ายรถเมล์ประจำทางคือที่ตั้งของโรงแรมไอบิส(ibis hotel) กึ่งกลางระหว่างโรงแรมไอบิสมีซอยแคบ ๆ อยู่มีป้ายเขียนว่ามัสยิด ผมเลยลองเดินข้ามถนนเข้าไปสำรวจจนได้พบกับชุมชนเล็ก ๆ ของชาวมุสลิมในเวียงจันทน์ และมัสยิดJamia ศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เดินออกมาจากซอยชุมชนชาวมุสลิมข้ามไปป้ายรถเมล์น้ำพุอีกครั้งจะเจอกับอาคารสีครีมสร้างด้วยสถาปัตยกรรมมุสลิมที่สวยงามแปลกตาซึ่งเป็นที่ทำการของสถานทูตบรูไน

ถนนเศรษฐาธิราช ตั้งขนานกับถนนสามแสนไทปลายทางไปบรรจบกับถนนล้านช้างตรงหน้าหอคำพอดี สองข้างทางของถนนสายนี้มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาตลอดแนว แม้จะเป็นตอนเที่ยงของกลางฤดูร้อนเช่นนี้ แต่ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ก็พอช่วยคลายความร้อนลงได้ เดินเลยสถานทูตบรูไนไปไม่ไกลก็มาถึงหน้าหอคำแล้ว จุดหมายแรกหลังมื้อกลางวันคือ วัดสีสะเกดซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับหอคำ ในวันนี้อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงสงกรานต์ทำให้มีร้านขายของมาตั้งขายมากมายบริเวณหน้าวัด...


ชาวลาว และนักท่องเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์กันหน้าร้านอาหารขอบใจเด้อ

ม่วนบ่?

อาคารสไตล์โคโลเนียลที่ถูกทิ้งร้างระหว่างทาง

ป้ายรถเมล์ประจำทางน้ำพุ

ฝั่งตรงข้ามป้ายรถเมล์จะเป็นโรงแรมไอบิส จะเห็นว่ามีซอยเล็ก ๆ กั้นกลางอยู่ข้างโรงแรม

เดินข้ามฝั่งเข้าไปสำรวจในซอยเล็ก ๆ เจอมัสยิด และชุมชนชาวมุสลิมในเวียงจันทน์

เดินออกมาจากซอยไปทางป้ายรถเมล์น้ำพุ เดินตรงไปอีกนิดจะเจอสถานทูตบรูไน 

ปีใหม่ ม่วนใจ ขับรถปลอดภัย ใส่ใจกฎจราจร ด้วยความเป็นห่วงจากใจ บริษัทเวียงจันทน์ประกันภัย และJDB Bank (แปลป้าย ๕๕๕)

มองไปอีกฝั่งเป็นกระทรวงวัฒนธรรม

เดินต่อไปอีก ๕๐ ก้าวถึงแล้วหอคำ 

หน้าหอคำเป็นจุดเริ่มต้นของถนนล้านช้าง ซึ่งจะไปสิ้นสุดตรงประตูไซ

เดินข้ามถนนจากหน้าหอคำก็ถึงแล้ว วัดสีสะเกด
วันนี้หน้าวัดคึกคักเป็นพิเศษ มีร้านค้าขายของมากมาย

ซุ้มทางเข้าวัดสีสะเกด

        วัดสีสะเกด หรือ วัดสะตะสะหัสสาราม เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์ที่ยังหลงเหลืออยู่โดยที่ไม่ถูกสยามทำลายในสงครามทศวรรษ ๒๓๗๐ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเวียงจันทน์ ทรงปฏิสังขรณ์โดยพระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งล้านช้างเวียงจันทน์ โดยอาศัยรูปแบบงานช่างแบบรัตนโกสินทร์ กล่าวคือสร้างสิมให้มีผนังสูงมีพาไล(หลังคาที่มีเสารองรับ)ล้อมด้วยระเบียงคดคล้ายวัดบางแห่งในกรุงเทพฯ ศูนย์กลางของวัดสีสะเกดคือ สิม(อุโบสถ) ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกตรงกับแม่น้ำโขง หรือตรงกับพระราชวังเดิม(บริเวณหอพระแก้ว) จึงมีชื่อว่าวัดสีสะเกด เพราะเป็นวัดที่กษัตริย์หันพระพักตร์ไปกราบไหว้ก่อนเสด็จเข้าพระบรรทม

        เมื่อเดินมาถึงหน้าวัดสีสะเกดก็พบกับบรรดาร้านขายของที่มีทั้งลูกชิ้นทอด น้ำดื่มดับกระหาย ปิ้งไก้ ปิ้งหมู ข้าวจี่ รวมไปถึงถังหูหิ้วใส่น้ำอบไปสรงน้ำพระเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ลาว วางขายกันแน่นขนัดบริเวณหน้าประตูวัด ผมจึงเดินฝ่าบรรดาร้านค้าเข้าประตูวัดไป แม้บริเวณหน้าวัดจะมีร้านค้าแน่นขนัดแต่พอเข้ามาในวัดแล้วกลับเหมือนอยู่กันคนละโลก ภาพของพุทธศาสนิกชนทั้้งหลายที่หลั่งไหลกันเข้ามาสรงน้ำพระแต่กลับรู้สึกว่าบรรยากาศดำเนินไปอย่างเนิบ ๆ นำความสงบมาสู่จิตใจอย่างบอกไม่ถูก หรือนี่คือแก่นของคำว่าวิถีชีวิตกันนะ เพราะดูเหมือนว่าทุกคนมาที่นี่ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเข้าไปสักการะพระพุทธรูปภายในสิม แล้วออกมาสรงน้ำพระรอบบริเวณวัด ก่อนที่จะทำบุญ บริจาคปัจจัย และออกไปทำเช่นเดิมในวัดข้างเคียงต่อไป ด้วยเหตุนี้ล่ะมั้งถึงศาสนิกชนจะมากมายเพียงใดแต่กลับรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นเรื่องปกติ และเป็นไปอย่างเรียบง่าย นำไปสู่ความรู้สึกสงบ

        เนื่องจากวันนี้เป็นวันปีใหม่ลาว วัดสีสะเกดจึงไม่เก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมเช่นปกติ เข้ามาภายในบริเวณระเบียงคดจะมีโต๊ะบริการถังหูหิ้วตักน้ำอบ และกิ่งไม้พรมน้ำอบให้บริการ บริจาคได้ตามศรัทธา ส่วนผมขอเข้าไปกราบพระในสิมเสียก่อน (ภายในสิมวัดสีสะเกดห้ามถ่ายรูปนะครับ!) เมื่อกราบพระเสร็จแล้วจึงออกมาพรมน้ำพระพุทธรูปรอบระเบียงคด ที่ลาวจะต่างจากที่ไทยตรงที่ที่ไทยใช้ขันตักน้ำสรงน้ำพระ แต่ที่ลาวใช้ก้านมะยม หรือกิ่งไม้กวักน้ำในถังแล้วพรมใส่พระพุทธรูป (ลักษณะคล้ายพระพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยม) ตอนแรกที่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

        เท่าที่สังเกตชาวลาวก็นิยมใส่เสื้อสีฉูดฉาดในวันสงกรานต์เช่นเดียวกันกับที่ไทย แต่คิดว่าคงจะมีชาวไทยข้ามฝั่งโขงมาไหว้พระในเวียงจันทน์บ้างล่ะ  ในส่วนของสาว ๆ ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ ยังคงนิยมนุ่งผ้าซิ่นกันอยู่ เดินออกมาสรงน้ำพระพุทธรูปนอกระเบียงคดกันบ้าง ยังคงมีพุทธศาสนิกชนมาไม่ขาดสาย บรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ หลังจากอิ่มอกอิ่มใจแล้ว ผมจึงเดินออกจากวัดสีสะเกดข้ามฝั่งถนนไปหอพระแก้วต่อเป็นจุดหมายถัดไป...


เดินเข้าซุ้มประตูวัดมาแล้ว

ปกติแล้ววัดสีสะเกดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมด้วย ชาวลาว ๓,๐๐๐ กีบ ชาวต่างชาติ ๑๐,๐๐๐ กีบ

 สิมวัดสีสะเกด จะสังเกตเห็นเสาพาไลย่อมุมรองรับอาคาร และหน้าจั่วแอ่นโค้งไม่มีนาคสะดุ้ง
หน้าบันด้านบนสุดสลักรูปเทวดาในซุ้มทรงปราสาทยอด ส่วนล่างลงมาคั่นแบ่งด้วยกระจังฐานพระ
เป็นลายสลักไม้ในกรอบลูกฟักเรียงกันรูปไม้ดัด

พุทธศาสนิกชนกำลังพรมน้ำพระพุทธรูปเนื่องในวันปีใหม่ลาว ณ วัดสีสะเกด

ถังหูหิ้วใส่น้ำอบ และกิ่งไม้กวักน้ำ สำหรับสรงน้ำพระพุทธรูป

สันหลังคาสิมทำครีบวันแล่นบรรจบกันที่ตรงกลางซึ่งเป็นปราสาทขนาดเล็กเรียกว่า สัตตะบูริพัน หรือช่อฟ้า

พระพุทธรูปที่ตั้งเรียงกันเป็นแนว บริเวณระเบียงคด ตรงกำแพงยังมีช่องเก็บพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ อีกด้วย เดิมเชื่อว่ามีกว่าแสนองค์ จึงมีชื่อเรียกวัดสีสะเกดอีกชื่อว่า วัดแสน

ตัวโหง่ หรือช่อฟ้าบนสิมมีปลายเรียวสะบัดแบบศิลปะล้านช้าง

ด้านข้างสิม จะสังเกตเห็นซุ้มประตู หน้าต่างเป็นทรงยอดปราสาท

ออกมาสรงน้ำพระพุทธรูปด้านนอกระเบียงคดกันบ้าง
พระพุทธรูปองค์กลางเป็นปางมารวิชัย

ประตูทางเข้าระเบียงคดจะสังเกตเห็นมีร่องรอยการลงรักปิดทองที่ประตู บนหลังคาจะสังเกตเห็นโหง่ที่อ่อนช้อยแบบล้านช้าง

หันไปทางหน้าวัด

หน้าทางเข้าระเบียงคดแบบชัด ๆ จะเห็นว่าหน้าบันมีไม้สลักพระพุทธเจ้าอยู่

ไปสรงน้ำพระบริเวณหน้าวัดกันบ้าง ด้านบนประดับด้วยธงชาติประเทศลาว และธงศาสนาพุทธ(ธงฉัพพรรณรังสี)

พระพุทธรูปจากวัดต่าง ๆ ที่โดนพรมน้ำ

ผู้บ่าว ผู้สาว พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ ต่างแต่งกายสดใสมาสรงน้ำพระรับปีใหม่

บ้างก็มาสรงน้ำเป็นครอบครัว เสริมศิริมงคลกันถ้วนหน้า

        เดินข้ามฝั่งถนนจากวัดสีสะเกดมาก็จะถึงตรงหน้าทางเข้าหอพระแก้วแล้ว ระหว่างข้ามถนนก็เริ่มเห็นบรรดารถของศาสนิกชนที่ขนกันมาทั้งครอบครัว ทุกคนต่างเตรียมถังหูหิ้วที่บรรจุน้ำอบเตรียมไปพรมน้ำพระพุทธรูปเสริมศิริมงคลตามวัดต่าง ๆ ในขณะเดียวกันด้วยอากาศที่ร้อนจัด สระน้ำเป่าลมก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการขนขึ้นหลังกระบะรถมาด้วยเพื่อคลายความร้อนให้เด็ก ๆ 

        หอพระแก้ว เป็นหอพระที่อยู่ในเขตพระราชวังเดิม เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาอัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ไปไว้ที่หลวงพระบาง ต่อมาได้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีจึงได้อัญเชิญมาไว้ที่หอพระแก้ว ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินพ.ศ.๒๓๒๒ นครหลวงเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่วัดอรุณ ก่อนที่จะย้ายไปประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงปัจจุบัน ต่อมาในสมัยเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ถูกสยามตีราบคาบอีกครั้งหอพระแก้วจึงถูกทิ้งร้างเป็นเวลานานจนมีสภาพเสื่อมโทรม เพิ่งได้รับการบูรณะใหม่ในปีพ.ศ. ๒๔๘๐ โดยสร้างเป็นรูปแบบอาคารก่ออิฐถือปูนทรงสูง มีพาไลรอบ ตกแต่งด้วยบัวหัวเสาเป็นบัวกลีบยาว บานประตูสลักไม้ลายพรรณพฤกษา และทวารบาล ซุ้มประตูทรงปราสาท หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณตามแบบรัตนโกสินทร์ แต่ก็ยังคงศิลปะแบบล้านช้างตรงหลังคาที่มีโหง่โค้งอ่อนช้อย และสัตตะบูริพัน หรือช่อฟ้าบนสันหลังคา ปัจจุบันภายในหอพระแก้วเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงพระพุทธรูป ศิลาจารึก วัตถุโบราณต่าง ๆ ของชาติลาว

        เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาในเขตหอพระแก้วจะมีเต้นท์คอยให้บริการถังน้ำอบ กับกิ่งไม้ไว้พรมน้ำพระพุทธรูปอยู่ พร้อมกล่องบริจาคตามศรัทธา เนื่องจากในปัจจุบันหอพระแก้วเป็นพิพิธภัณฑ์จึงพรมน้ำพระได้เฉพาะบริเวณรอบหอพระแก้วเท่านั้น ห้ามนำถังน้ำอบ เข้าไปภายในตัวอาคารเด็ดขาด รอบอาคารหอพระแก้วจะมีพระพุทธรูป และเทพต่าง ๆ ที่สามารถพรมน้ำได้อยู่ ที่หอพระแก้วคนค่อนข้างหนาตากว่าที่วัดสีสะเกด ยิ่งพอผมสรงน้ำพระเสร็จ และกำลังเดินออกจากหอพระแก้วคนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ 

 พุทธศาสนิกชนที่เตรียมถังใส่น้ำอบไปพรมน้ำพระอย่างดี พร้อมเตรียมสระน้ำเป่าลมคลายร้อนให้เด็ก ๆ หลังกระบะรถ

 ทางเข้าหอพระแก้ว

เดินเข้ามาภายในเจอหอพระแก้วตั้งเด่นเป็นสง่า จะสังเกตเห็นเสาพาไลล้อมรอบ บนหลังคามีโหง่ที่ไล่ระดับสวยงาม และหน้าบันส่วนบนเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

ศาสนิกชนทั้งหลายกำลังขึ้นบันไดมาพรมน้ำพระพุทธรูปหน้าหอพระแก้ว

 ในถังน้ำอบมีกลีบดอกไม้ผสมอยู่ด้วย กลีบดอกไม้จึงกระจายตามพื้นไปหมด

 หอพระแก้วมุมเงย

ต่อแถวกันสรงน้ำพระพุทธรูปอย่างเป็นระเบียบ

ส่งท้ายหอพระแก้วด้วยภาพนี้ ผู้คนเริ่มแห่แหนกันมาเรื่อย ๆ

        หลังดื่มด่ำกับโบราณวัตถุชาติลาว ทั้งพระพุทธรูปโบราณ และศิลาจารึก พร้อมสรงน้ำพระเสริมศิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่จนอิ่มบุญแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะไปสถานีขนส่งตลาดเช้าเพื่อไปจองตั๋วรถทัวร์กลับไทยล่วงหน้าในวันพรุ่งนี้เนื่องจากกลัวตั๋วหมดเพราะมีบทเรียนจากตั๋วไปวังเวียงแล้ว T_T จากหอพระแก้วไปตลาดเช้าระยะทางเพียง ๕๐๐ เมตรเท่านั้น โดยใช้เส้นทางถนนมโหสถออกจากหอพระแล้วแล้วเดินเลี้ยวขวาโลด จะเจอแยกโรงพยาบาลมโหสถเดินเลี้ยวซ้ายเข้าถนนมโหสถเดินตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านสถาบันค้นคว้าวิทยาศาสตร์การศึกษาแห่งชาติลาว ตรงไปอีกจะเป็นโรงพิมพ์ ฝั่งตรงข้ามโรงพิมพ์เป็นสถานทูตฝรั่งเศส พอข้ามจุดตัดถนนสามแสนไทจะเจอมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพอยู่ฝั่งตรงข้าม จะสังเกตว่าพวกชื่อถนน กระทรวง ชื่อโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถานที่ราชการในเวียงจันทน์โดยส่วนใหญ่จะเขียนเป็นภาษาลาว ควบคู่กับภาษาฝรั่งเศส คงเป็นเพราะอิทธิพลจากสมัยอาณานิคม แต่ตึกอาคารที่สร้างใหม่จะเปลี่ยนไปใช้ภาษาลาวควบคู่กับภาษาอังกฤษแทนแล้ว 

        แม้จะเลยเวลาเที่ยงไปแล้วแต่แสงแดดยิ่งทวีความเฉิดฉายขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกตัวอีกทีก็เปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว แต่ชาวเมืองเวียงจันทน์ก็ยังใช้ชีวิตยามบ่ายอย่างปกติสังเกตจากกลุมคุณลุงข้างทางที่จับกลุ่มนั่งเล่นหมากฮอสกับผองเพื่อนอย่างสนุกสนาน เอาน่า! ตลาดเช้าอยู่อีกไม่ไกลเดินผ่านจุดตัดถนนคูเวียงไปแล้วข้ามทางม้าลายไปฝั่งตรงข้ามก็ถึงแล้วสถานีขนส่งตลาดเช้า ช่องขายตั๋วตั้งอยู่ในอาคารหลังคาสแตนเลสที่มีม้านั่งเต็มหน้าทางเข้า ภายในมีช่องขายตั๋ว ๓ ช่อง ไปขอนแก่นวันละ ๑ เที่ยว อุดรธานีวันละ ๘ เที่ยว และหนองคายวันละ ๔ เที่ยว ในขากลับผมจองตั๋วรถไฟไปขึ้นที่สถานีรถไฟอุดรธานี เพราะไม่เคยไปเที่ยวในตัวเมืองอุดรธานีมาก่อนจึงอยากลองไปเที่ยวเมืองอุดรฯ เป็นการปิดท้ายทริปก่อนนั่งรถไฟกลับบ้าน ผมเลือกจองตั๋วกลับรอบ ๑๑ โมงครึ่ง เพราะรถไฟออก ๑ ทุ่ม ครึ่ง จะได้มีเวลาเที่ยวอุดรฯ สัก ๔ ชั่วโมง  

แต่ก็ได้ความจากคุณป้าคนขายตั๋วว่า "ตั๋วขายแบบวันแต่วัน ค่อยมาจองมื้ออื่นตอนแปดโมงเซ้าก็ได้" 

        ผมรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากพรุ่งนี้ค่อยมาซื้อตั๋วก็ยังไม่สายสินะ งั้นตอนนี้ทำอะไรต่อดีเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงบ่ายสอง(เวลาเช็คอินโรงแรม) ไปหาที่ตากแอร์คลายร้อนแล้วกัน ผมจึงมุ่งหน้าสู่ศูนย์การค้าเวียงจันทน์เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าทุนจีนขนาดใหญ่ที่เห็นเมื่อตอนที่เพิ่งมาถึงเวียงจันทน์เป็นวันแรก จากสถานีขนส่งตลาดเช้าเดินตรงไปทางถนนคูเวียงประมาณ ๑๐๐ เมตรก็ถึงแล้ว


หอพระแก้วไปสถานีขนส่งตลาดเช้าแค่ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น

 เดินมาได้สักพักก็ถึงแล้ว โรงพยาบาลมโหสถ ข้ามทางม้าลายแล้วตรงไปโลด

 ผ่านสถาบันค้นคว้าวิทยาศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ

 มองไปฝั่งตรงข้ามเป็นสถานทูตฝรั่งเศส

 โรงพิมพ์สีสดใสเชียว

 คณะเภสัชศาสตร์

 รถสองแถวจากตลาดเช้า ไปหนองแต่ง? แม่นบ่?

 เดินผ่านกลุ่มคุณลุงที่กำลังเล่นหมากฮอส ท่ามกลางอากาศที่ Extremely hot!!! //ลองอ่านเป็นแร็ปสิครับ

 ฝั่งตรงข้ามเป็นมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ

เดินข้ามทางม้าลายถนนคูเวียงไปก็ถึงแล้ว สถานีขนส่งตลาดเช้าทางขวามือ

รถทัวร์โดยสารระหว่างประเทศขอนแก่น-นครหลวงเวียงจันทน์เพิ่งมาถึงพอดี

        ศูนย์การค้าเวียงจันทน์เซ็นเตอร์ หมายตาเอาไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าจะมาลองเดิน เพราะอยากรู้ว่าห้างที่ลาวจะเป็นอย่างไร หลังจากฝ่าลมร้อนมาแม้จะระยะทางไม่ไกลแต่พอได้มาสัมผัสไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในศูนย์การค้าก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาโข ภายในศูนย์การค้าร้านค้าส่วนใหญ่เป็นร้านขายเสื้อผ้า และเครื่องสำอางค์ มีร้านของแบรนด์ชื่อดังอาทิ Adidas Nike Converse Shisedo เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซินีเพล็กซ์อยู่ที่ชั้น ๔ อีกด้วย พื้นที่ของศูนย์การค้าส่วนหนึ่งเป็นของแบงก์ชาติจีน Bank of China  เท่าที่เดินสำรวจผู้คนยังค่อนข้างบางตา หนังที่เข้าฉายมีทั้งหนังไทยชื่อดังอย่างหลวงพี่แจ๊ส 5G และหนังฮอลลีวู้ดอย่าง Pacific Rim 

รอบ ๆ สถานีขนส่งตลาดเช้ามีร้านขายข้าวจี่ (ขนมปังฝรั่งเศสใส่ใส้ต่าง ๆ)  มากมาย

 ด้านหน้าศูนย์การค้าเวียงจันทน์เซ็นเตอร์

 เข้ามาแล้วชั้น ๑ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย

 พุทโธธัมโมสังโฆ ทุกข์ขังใหญ่โต 3Gมรณัง ครูบาแจ๊ส 5G บุกเวียงจันทน์

 ป้ายบอกร้านต่าง ๆ ในห้างมีภาษาจีน และเกาหลีกำกับไม่มีภาษาอังกฤษ T_T

 พนักงานในห้างยังคงเอกลักษณ์ความเป็นผู้สาวลาว

 Pacific Rim ปฏิวัติพลิกโลก ฉายแล้ววันนี้ที่ Major Platinum Cineplex

 เข้ามาโซนเด็กเล่นกันบ้าง ตู้คีบตุ๊กตาก็มี

 ต้องใช้เงินดอลลาร์หรือ???

 ถ่ายจากชั้น ๔ ชั้นบนสุด

แอบเข้ามาดูภายในเมเจอร์

        เดินชมศูนย์การค้าใหญ่ของลาว ตากแอร์ได้สักพักจึงเดินไปเช็คอินที่โรงแรมใหม่ที่จองไว้ สายลมเย็นคาเฟ่แอนด์โฮสเทล ผมใช้เส้นทางถนนสามแสนไทเดินไปจนถึงแยกน้ำพุ แล้วเดินเลี้ยวขวาไปถนนปางคำ เดินตรงไปหนึ่งบล็อกถนนแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนขุนบรม เดินไปประมาณ ๑๐๐ เมตรแล้วเดินเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายลม เดินไปเกือบสุดถนนจะเจอโฮสเทลอยู่ทางซ้ายมือ 

        วันนี้ชาวเวียงจันทน์เล่นสงกรานต์กันคึกคักกว่าเมื่อวานมาก ทำให้ระหว่างทางเดินไปโฮสเทลแม้จะพยายามหลบแค่ไหนแต่ก็โดนนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเอาขันมาราดน้ำใส่อย่างละมุนจนได้ พร้อมพูดภาษาลาวว่า "สะบายดีปีใหม่ลาว" ผมจึงตอบกลับแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้ก่อนจะรีบเดินต่อไป ตัวผมเปียกไปทั้งตัวแต่ด้วยอานุภาพแห่งแดดกลางฤดูร้อนทำให้พอไปถึงโฮสเทลเสื้อผ้าผมก็แห้งอย่างไม่น่าเชื่อ 

        โฮสเทลนี้มีขนาดกะทัดรัดชั้นล่างเป็นคาเฟ่ตกแต่งสไตล์มินิมอล ชั้นบนเป็นห้องพักรวมชาย-หญิง ลักษณะเตียงเป็นเตียงสองชั้นมีผ้าม่านหนาปิดเตียงเวลานอน แต่ละเตียงมีปลั๊กไฟ และโคมไฟส่วนตัว มีผ้าห่ม และผ้าเช็ดตัวบริการ ในแต่ละชั้นมีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำอยู่ชั้นละ ๑ ห้องใหญ่(ใช้ร่วมกัน) เจ้าของโฮสเทลอัธยาศัยดี และพูดภาษาไทย กับอังกฤษคล่องมาก ตอนเช็คอินก็สะดวกมากเพราะไม่ต้องพริ้นต์ใบจองไปแค่เปิดแอปอโกด้าให้ดู พร้อมเสียเงินค่ามัดจำ ๕๐,๐๐๐ กีบ(ได้รับคืนตอนเช็ตเอาท์) ก็ได้คีย์การ์ดห้องเป็นอันเรียบร้อย สำหรับที่พักราคาคืนละ ๒๔๐ บาทแล้วถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามากเพราะสภาพที่พักใหม่มาก แม้จะเป็นห้องพักรวมแต่ก็มีการแยกสัดส่วนชัดเจน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแถมมีเซตอาหารเช้าฟรีอีกด้วย...

จากมะลิน้ำพุไปแค่ ๗๐๐ เมตรเท่านั้น

 ระหว่างทางเดินไปโฮสเทลผ่านไปรษณีย์ลาวด้วยตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์การค้าตลาดเช้าเลย สีสดใสมาก

 จากถนนขุนบรม เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายลมโลด จุดสังเกตคือตึก Prudential

 หน้าโฮสเทลกำลังเล่นสงกรานต์กันสนุกสนาน

 เดินเข้ามาในห้อง อยู่ชั้นสอง ได้เตียงล่าง A08

คีย์การ์ดเข้าห้อง และกุญแจไขล็อกเกอร์เก็บสัมภาระ

 ล็อกเกอร์เก็บสัมภาระตามรหัสเตียงเลย

 สภาพห้องน้ำรวมดูดีมาก

 มีกระจกบานใหญ่

 ภายในห้องอาบน้ำ

 อ่างล้างมือไว้ล้างหน้า แปรงฟัน

 โถงทางเดินชั้นสอง ห้องผมอยู่สุดทางเดิน

 บันไดทางขึ้น

 ตกแต่งดูดีมาก ๆ

 สร้างมานานแล้วเหมือนกันนี่นา

บรรยากาศคาเฟ่ชั้นล่างเหมาะแก่การเอาการบ้านมานั่งทำมาก

        เมื่อเช็คอิน และนำสัมภาระไปเก็บในล็อกเกอร์ที่โฮสเทลแล้ว จึงออกจากโฮสเทลมุ่งหน้าสู่ทาดหลวง(พระธาตุหลวง) เป็นจุดหมายต่อไป ขณะนี้เวลาบ่ายสองครึ่งแล้วไม่รู้ว่าจะเดินฝ่าแดดไปถึงทาดหลวงตอนไหน เพราะจากโฮสเทลไปทาดหลวงระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตรได้ เส้นทางที่ใช้เดินจากสายลมเย็นโฮสเทลไปทาดหลวงก็ไม่ยากเลย เดินตรงออกจากโฮสเทลไปตามถนนสายลมเรื่อย ๆ จะไปบรรจบกับถนนล้านช้าง จากถนนล้านช้างเดินไปจนถึงประตูไซแล้วข้ามไปฝั่งกระทรวงกสิกรรม และป่าไม้ จากนั้นเดินชิดซ้ายตรงไปเรื่อย ๆ เข้าถนน ๒๓สิงหา (23Singha Rd.) แล้วเดินตรงไปยาว ๆ ประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็จะถึงทาดหลวงแล้ว เย่ 

        ช่วงบ่ายคล้อยเช่นนี้แดดยิ่งแผดเผาหนักกว่าเมื่อเที่ยงเสียอีก หลังจากเดินเลยประตูไซไปแล้วชิดซ้ายเข้าสู่ถนน๒๓สิงหา บ้านเรือนที่แน่นขนัดก็เริ่มบางตาลง ต้นไม้ใหญ่เองก็เช่นกัน ทำให้ตัวผมได้รับแสงแดดจัดช่วงบ่ายไปเต็ม ๆ ตอนที่เพิ่งเดินขึ้นเนินเสร็จแล้วเห็นร้านกาแฟโจมาสาขาทาดหลวง จึงรู้สึกแทบอยากจะเข้าไปสั่งอะไรเย็น ๆ ดับกระหายเหลือเกิน แต่ก็ได้แต่ห้ามตัวเองไว้ในใจเพราะเมื่อเที่ยงก็เพิ่งเสียหายไป ๔๐,๐๐๐ (กีบ) กับร้านนี้ไป อดทนไว้แล้วไปหาซื้อน้ำดื่มเอาที่วัดแล้วกัน อีก ๒๐๐ เมตรเท่านั้น ไหวอยู่แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงทำให้มีพลังในการเดินต่อไปเลยร้านกาแฟโจมาไปก็เริ่มเห็นพระธาตุสีทองอร่ามอยู่ลิบ ๆ แล้ว เดินข้ามถนนไป ข้ามลานกว้างไป เดินเข้าประตูรั้วเหล็กที่คล้ายกับประตูรั้วโรงเรียนไปก็ถึงแล้วทาดหลวง ความเหนื่อยล้าหายไปในพริบตา :) 

ระยะทางจากประตูไซไปทาดหลวง ๒ กิโลเมตรครึ่ง

เดินออกจากโฮสเทลไปจนถึงหัวมุมถนนสายลมเจอ บริษัทรัฐวิสาหกิจ ลาวโทรคมนาคม

 เจอกันอีกแล้วนะประตูไซ

ฝั่งตรงข้ามเป็นสวนประตูไซ ชิดซ้ายตามป้ายเข้าถนน๒๓สิงหาเลย ไม่หลงชัวร์

 เดินผ่านร้านอาหารตำหนักลาว วันนี้น่าจะปิด

 เลยไปไม่ไกลเป็นโชว์รูมโตโยต้า โตโยต้าที่นี่พวงมาลัยอยู่ทางซ้ายเด้อ เพราะที่ลาวใช้พวงมาลัยซ้าย

 เดินไปอีกนิดเจอสถานทูตเวียดนาม ประจำประเทศลาว

ติดกับสถานทูตเวียดนาม เป็นกระทรวงการต่างประเทศ (ภาษาฝรั่งเศสแม่มหยังบ่มีl'accent aigu?)

 มองไปฝั่งตรงข้ามกระทรวงการต่างประเทศ กำลังเล่นน้ำกันม่วนหลาย

 เห็น BMW แสดงว่าใกล้จะถึงแล้ว เดินขึ้นเนินไปอีกฮึบเดียว!!!

 หลังจากเดินขึ้นเนินมาแล้วจะเจอร้านกาแฟโจมา สาขาทาดหลวง(พระธาตุหลวง)

 จากหน้าร้านกาแฟโจมาเดินตรงไปอีก ๒๐๐ เมตรก็ถึงแล้ว

 ฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟโจมาเป็นสวนสาธารณะ และร้านอาหารชื่อดังทั้ง คาเฟ่แอมะซอน และไก่เท็กซัส

 เห็นลานโล่ง ๆไหม เหลืออีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น !!!

ในที่สุด ถึงแล้วทาดหลวง!

        เมื่อเดินผ่านรั้วเข้ามาแล้วสิ่งแรกที่เห็นเมื่อมองไปทางทิศเหนือทางซ้ายมือคือหอพระธรรมขนาดใหญ่  หรือธรรมศาลา ถัดไปไม่ไกลจะเป็นวัดทาดหลวงเหนือ เมื่อหันไปทางทิศใต้ทางขวามือจะเจอวัดทาดหลวงใต้  ส่วนทาดหลวงนั้นตั้งอยู่กึ่งกลางของบริเวณนี้ราวกับว่าเป็นจุดศูนย์กลาง จะคิดเช่นนั้นก็คงไม่แปลกนักเพราะตามคติพุทธแล้วเจดีย์เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

        ทาดหลวง(พระธาตุหลวง) สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐา หลังจากที่ย้ายราชธานีจากหลวงพระบาง มาเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ.๒๑๐๓ ทาดหลวงถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของล้านช้าง ตัวพระธาตุมีรูปแบบทรงบัวเหลี่ยม ส่วนฐานล่างเป็นฐานยกสูงประดับลายกลีบบัวตั้ง เหนือขึ้นไปรองรับธาตุบริวารขนาดเล็กจำนวน ๓๓ องค์ที่รายล้อม ส่วนพระธาตุประธานส่วนฐานเป็นฐานเอนลาดขนาดใหญ่คล้ายองค์ระฆังคว่ำในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส เหนือขึ้นไปเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่รับส่วนยอดบัวเหลี่ยมทรงสูงเพรียว ทาดหลวงเป็นสัญลักษณ์ของเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพราะทาดหลวงมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า พระธาตุโลกจุฬามณี ส่วนจำนวนพระธาตุบริวาร ๓๓ องค์ น่าจะหมายถึงจำนวนเทวดาทั้ง ๓๓ องค์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทาดหลวงในปัจจุบันล้อมรอบด้วยระเบียงคดเคยอ่านหนังสือมาว่าเมื่อก่อนใช้เป็นที่เก็บพระพุทธรูป และโบราณวัตถุ แต่ตอนที่ผมไปไม่เห็นแล้วแต่มีส่วนหนึ่งของระเบียงคดที่ปิดไว้ไม่ให้เข้าไปอาจจะเป็นที่เก็บรักษาในปัจจุบันก็เป็นได้

        เมื่อเข้าซุ้มประตูทาดหลวงมาแล้วซึ่งวันนี้มีการยกเว้นค่าธรรมเนียม จะเจอโต๊ะที่มีถังน้ำขนาดใหญ่บรรจุน้ำอบโรยกลีบดอกไม้เต็มถัง พร้อมถังขนาดเล็ก และก้านไม้ให้บริการไปสรงน้ำพระธาตุที่หอไหว้ อีกทั้งยังมีดอกไม้ และเทียน(ไม่มีธูป) ให้ไปไหว้พระธาตุบริจาคเงินได้ตามศรัทธา คาถาบูชาพระธาตุเป็นภาษาบาลีเขียนด้วยตัวอักษรลาว ด้วยตัวอักษรที่ใกล้เคียงกับภาษาไทยทำให้ชาวไทยเช่นผมพอเอาตัวรอดท่องบทสวดได้อยู่ ยามบ่ายคล้อยที่ร้อนระอุเช่นนี้แต่ผู้คนก็นยังหลั่งไหลมาสักการะพระธาตุกันไม่ขาดสาย หอไหว้ที่ทาดหลวงมีทั้งหมดสี่ทิศ และสามารถขึ้นไปนมัสการพระธาตุได้ทั้งสี่ทิศ แต่ผมไม่ได้เดินไปถึงหอไหว้ทิศเหนือเพราะอากาศที่ร้อนจัด และไม่ได้ดื่มน้ำเป็นเวลานานหลังไหว้พระธาตุ และเก็บภาพประทับใจเสร็จจึงขอตัวออกไปซื้อน้ำด้านนอกดับกระหายเสียก่อน...

        
 ช่วงนี้ดอกคูนกำลังบานเต็มที่

หอพระธรรม สถานที่เก็บพระไตรปิฎก อยู่่เยื้องไปซ้ายของทาดหลวง

ทาดหลวงกับสวนสวย

มองเยื้องไปฝั่งขวาจะเจอวัดทาดหลวงใต้

ถ่ายรูปพอใจแล้ว เดินเข้าไปนมัสการพระธาตุดีกว่า

ซุ้มประตูทางเข้าทาดหลวงทำเป็นหลังคาช้อนยอดแหลมดูคล้ายสถาปัตยกรรมพม่า

ทาดหลวงวันธรรมดาปกติทั่วไปเก็บค่าเข้าชาวลาวคนละ ๓,๐๐๐ กีบ ชาวต่างชาติ ๑๐,๐๐๐ กีบ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ลาว จึงมีการงดเว้นค่าธรรมเนียม

ป้ายบอกเล่าประวัติความเป็นมาของทาดหลวงเป็นภาษาลาว และภาษาอังกฤษ

บริจาคเงินตามศรัทธาแล้ว หยิบดอกไม้และเทียน ๒ เล่มขึ้นไปไหว้พระธาตุบนหอไหว้ด้านทิศประจิมกัน!

หอไหว้พระธาตุด้านทิศประจิม

มองไปทางทิศตะวันออก เห็นสิมวัดทาดหลวงใต้อยู่ภายนอกระเบียงคด

สังเกตองค์พระธาตุประธานทรงบัวเหลี่ยม จะมีพระธาตุบริวารรายล้อมอยู่

ชาวลาว และต่างชาติทยอยเข้ามานมัสการพระธาตุกันอย่างไม่ขาดสาย

ระเบียงคดทาดหลวงในปัจจุบัน

หอไหว้ด้านทิศทักษิณ ภาพพระธาตุมุมนี้สื่อถึงสัญลักษณ์ของทาดหลวงได้เป็นอย่างดี ยอดพระธาตุองค์ประธานเป็นพระธาตุจุฬามณี พระธาตุบริวารที่เรียงเป็นขั้น ๆ เป็นเหล่าเทวดาที่กำลังบูชาพระธาตุอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

หอไหว้ด้านทิศบูรพาด้านบนมีพระธาตุขนาดเล็กที่ถูกสร้างหอครอบเอาไว้ชื่อ พระธาตุศรีธรรมทายโลก

หอไหว้ด้านทิศบูรพาก็มีศาสนิกชนมาสักการะมากเช่นกัน หอที่ครอบพระธาตุองค์เล็กด้านบน หลังคามีลักษณะซ้อนเป็นชั้นยอดแหลมคล้ายศิลปะพม่า

ไหว้พระธาตุจนอิ่มบุญแล้ว ออกไปหาซื้อน้ำดื่มดับร้อนดีกว่า

       
        บริเวณด้านนอกทาดหลวงมีเต้นท์ขายของมากมายคล้ายที่หน้าวัดสีสะเกด แต่ที่ทาดหลวงมีร้านมากกว่า ส่วนใหญ่เป็นร้านขายอาหาร น้ำดื่ม บางส่วนเป็นร้านขายของฝากซึ่งคล้ายกับของฝากที่เห็นบนประตูไซ แต่ไม่รู้ว่าราคาต่างกันหรือไม่ แน่นอนว่าผมรีบตรงรี่ไปร้านขายน้ำไปซื้อน้ำเปล่าทันทียังไม่ทันจะอ้าปาก

แม่ค้าก็พูดขึ้นมาว่า "ซาวบาทเจ้า" (๒๐ บาท)  
"กี่กีบ ?" ผมถาม
"๕,๐๐๐ กีบเจ้า" แม่ค้าตอบ

        ผมยื่นธนบัตร ๑๐,๐๐๐ กีบไปให้แม่ค้า แต่ได้เงินทอนมาเป็นธนบัตร ๒๐ บาทไทย!!! ในตอนนั้นเงิน ๕,๐๐๐ กีบ มีค่าประมาณ ๑๘-๑๙ บาท เท่ากับว่าผมได้กำไรสินะ สงสัยร้านแถวนี้คงเน้นขายนักท่องเที่ยวเป็นหลัก เมื่อได้น้ำดื่มเย็น ๆ ดับกระหายแล้วผมจึงยังไม่ตัดสินใจกลับโฮสเทล ทางเข้าวัดทาดหลวงใต้อยู่ใกล้แค่นี้ถ้าไม่ได้ไปแวะคงพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดายแน่ ภายในวัดทาดหลวงใต้มีบริเวณไม่กว้างขวางนัก มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่เป็นจุดเด่นมีประชาชนมาพรมน้ำพระพุทธไสยาสน์ และถ่ายรูปกันเป็นหมู่คณะกันเนืองแน่น ภายในวัดมีร้านให้คนซื้อนกใส่กรงไม้ไผ่ไปปล่อย รวมไปถึงร้านเครปก็มี เดินชมได้ไม่นานแสงแดดที่เจิดจ้าก็เริ่มใกล้จะถึงเวลาลับขอบฟ้า ผมจึงออกจากวัดทาดหลวงใต้แล้วเดินกลับโฮสเทลโดยใช้เส้นทางถนน๒๓สิงหา เช่นเดิม ระหว่างทางมีนั่งแวะพักตามสวนสาธารณะบ้าง และไม่ลืมที่จะเก็บภาพประตูไซยามสนธยา ก่อนที่จะพาร่างเข้าไปนอนสลบเหมือดเพราะเพลียแดดมาตลอดวันในห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ของโฮสเทลในเวลา ๕ โมงเย็น...


 กรุณาปิดเกิบก่อนเข้าไหว้

ซุ้มประตูทางเข้าวัดทาดหลวงใต้

 แม่ใหญ่กำลังย่างข้าวจี่ร้อน ๆ ขายหน้าวัดทาดหลวงใต้

 พระพุทธไสยาสน์วัดทาดหลวงใต้

 มองไปทางทาดหลวง ถ่ายจากในวัดทาดหลวงใต้

 สิมวัดทาดหลวงใต้ ขอบหน้าต่างเป็นทรงยอดปราสาท หลังคาซ้อนชั้น สันหลังคามีสัตตะบูริพัน หรือช่อฟ้าแบบศิลปะล้านช้าง

 ทำบุญปล่อยนกบ่ ร้านเครปด้านหลังก็มีเด้อ

สี่โมงเย็นแล้ว ออกจากวัดกลับโรงแรมดีกว่า

ถนนรอบทาดหลวงมีร้านค้า และโรงแรมแน่นขนัด

 อากาศร้อน ๆ แบบนี้สระน้ำเป่าลมน่าจะขายดีเทน้ำเทท่า

ร้านขายกระทงบายศรีด้านข้างทาดหลวง

 ซุ้มประตูเข้าทาดหลวงทิศทักษิณ

 หันไปมองวัดทาดหลวงใต้

 เข้าถนน๒๓สิงหา แล้วเดินตรงไปโลด

 แวะนั่งพักกันที่สวนสาธารณะหน้าทาดหลวงเสียหน่อย

 สบายตา

 เดินลงเนิน แล้วเดินตรงไปอีกสิบนาทีก็จะถึงประตูไซแล้ว

 แวะนั่งพักที่สวนประตูไซสัก ๕ นาที

 ประตูไซยามเย็น

 หันไปทางสำนักงานนายกรัฐมนตรีบ้าง

ประตูไซแสงยามเย็นแบบชัด ๆ

        เวลา ๑๘:๓๐ น. ผมได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในห้องจึงตื่นขึ้นมาพอเปิดม่านออกไปพบว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเพิ่งเช็คอินเข้ามา เขาไม่ลืมจะกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตรก่อนจะแง้มม่านปิดเพื่อพักผ่อน ผมเริ่มรู้สึกหิวจึงลุกออกจากโฮสเทลออกไปหาอะไรกินแถว ๆ ย่านสตรีทฟู้ด โดยใช้เส้นทางเดียวกับที่ไปร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง วันนี้ถนนสามแสนไทรถติดมากจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้เพราะมีงานสงกรานต์ครั้งใหญ่ของชาวเวียงจันทน์จัดขึ้น รถทั้งถนนต่างเป็นรถกระบะที่เตรียมอุปกรณ์มาเล่นน้ำสงกรานต์กันทั้งสิ้น เสียงลำโพงเปิดเพลงจังหวะตื้ด ดังกระหึ่มไปทั้งถนนกว่าผมจะหาทางเลี่ยงไปจนถึงย่านสตรีทฟู้ดได้ก็แทบแย่ ไม่อยากเปียกอีกครั้งแล้ว ๕๕๕ วันนี้ร้านเวียงสวรรค์แหนมเนืองยังเปิดให้บริการเช่นเดิม แต่ผมอยากลองหาอะไรใหม่ ๆ กิน จึงเดินไปฝั่งตรงข้ามแถวร้านอาหารเกาหลีพบร้านขายข้าวเปียกร้านหนึ่งมีลูกค้าแน่นร้านดีจึงเดินเข้าไปหาที่นั่งทันที ที่ร้านมีเมนูไม่กี่อย่างเท่านั้นคือข้าวเปียกหมู กับไก่ถ้วยเล็ก/ใหญ่ และข้าวเปียกเครื่องในหมูกับไก่ถ้วยเล็ก/ใหญ่ มื้อเย็นนี้ผมสั่งข้าวเปียกหมูถ้วยเล็กพร้อมน้ำหนึ่งขวด ข้าวเปียกที่ร้านนี้มีให้เลือกด้วยว่าจะใส่เส้น หรือข้าว ผมเลือกใส่เส้นไป ใช้เวลานั่งรออาหารไม่นานนักบริกรสาวก็นำมาเสิร์ฟวางบนโต๊ะเรียบร้อย เพราะคุณลุงเจ้าของร้านทำอย่างคล่องแคล่ว น่าจะเป็นร้านเก่าแก่ในเวียงจันทน์ แม้จะมีลูกค้าที่นั่งเต็มร้าน และลูกค้าที่มาสั่งใส่ถุงกลับบ้าน  ข้าวเปียกร้อน ๆ พร้อมน้ำซุปโรยด้วยกระเทียมเจียวส่งกลิ่นหอมรสไม่จัด เนื้อหมูที่ให้มาอย่างไม่เสียดาย และเส้นที่เหนียวนุ่ม แม้จะเป็นถ้วยเล็กแต่ก็ทำให้คลายความหิวได้สบาย มื้อนี้หมดไป ๑๙,๐๐๐ กีบเท่านั้น (๗๔ บาท)

      หลังจัดการกับอาหารเย็นเสร็จแล้วจึงเดินไปสำรวจสตรีทฟู้ดย่อยอาหาร วันนี้บรรยากาศคนคึกคักกว่าเมื่อวานมาก คนเล่นน้ำสงกรานต์แทบจะอยู่ทุกหัวมุมถนน บางบ้านที่มีเด็กก็จะเอาสระน้ำเป่าลมมาเล่นหน้าบ้านกัน ผมเห็นเช่นนั้นจึงรีบกลับเข้าโฮสเทลดีกว่า ก่อนที่จะแวะร้านสะดวกซื้อ M-Point mart ซื้อโยเกิร์ตไปกินเสียหน่อย บรรยากาศระหว่างไปโฮสเทลเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า เบียร์ และเสียงเพลงดังกะหึ่ม จน ๒ ทุ่มในที่สุดผมก็เดินมาถึงโฮสเทลโดยสวัสดิภาพ แล้วจึงเอาโยเกิร์ต และการบ้านมานั่งทำตรงคาเฟ่ชั้น ๑ ที่คาเฟ่เปิดเพลงออเจ้า และบุพเพสันนิวาสเวียนไปมา ดูท่าแล้วกระแสออเจ้าคงข้ามฝั่งโขงมาถึงเวียงจันทน์เป็นแน่แท้ นั่งทำงานจนถึง ๓ ทุ่มจึงขอตัวไปอาบน้ำ นอนพักผ่อนดีกว่าเพราะเดินเที่ยวเหนื่อยมาทั้งวัน...

 ออกมาจากโฮสเทลท้องฟ้ายังไม่มืด

 เมนูอาหารที่ร้าน เฝอถ้วยน้อย ๑๕,๐๐๐ กีบเท่านั้น

 มาแล้วเฝอหมูถ้วยน้อย กับน้ำดื่ม

บรรยาภายในร้าน เป็นกันเองมาก 

หน้าร้านข้าวเปียก เจ้าเก่าเสียด้วย

 ทานอาหารเสร็จแล้ว แวะไปชมสตรีทฟู้ดเสียหน่อย คนหลายอยู่

 ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหารเกาหลี กับร้านราเมง

 ร้านรถเข็นก็มี โอ้โหเฮียกำลังทำอาหารขะมักเขม้นเลย ลูกค้าเยอะมาก

 ฝั่งตรงข้ามกำลังจัดงานสงกรานต์กันครื้นเครง

 ร้านขายโรตี

 ญี่ปุ่น กับลาวให้ความร่วมมือกันสร้างระบบสาธารณูปโภคในเวียงจันทน์ทั้งทางม้าลาย ทางเท้า ต่าง ๆ

แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ M-Point mart ถนนสามแสนไทเสียหน่อย ได้โยเกิร์ตธรรมชาติผลิตภัณฑ์ของลาวแท้ ๆ ด้วย รสชาติดีมากไม่หวาน มีเนื้อส้มอยู่ด้านใน ราคาถ้วยละ ๙,๐๐๐ กีบ


        สำหรับวันที่ ๒ ของการอยู่ลาววันนี้ก็เกิดเรื่องราวมากมายเกินคาดคิด แม้จะยังอยู่เวียงจันทน์เพราะไม่มีตั๋วไปวังเวียงตามที่ตั้งใจ แต่เฉพาะแค่เดินเที่ยวรอบเวียงจันทน์ก็ยังใช้เวลาทั้งวันแล้ว ถ้าได้ไปวังเวียงจริงคงอดเที่ยวสถานที่สำคัญในเวียงจันทน์ไปหลายที่ นับว่าในความผิดหวังก็ยังมีโอกาสที่สองอยู่นั่นเอง จนถึงตอนนี้เวียงจันทน์ในหัวของผมเป็นเมืองหลวงที่ไม่ใหญ่โต พลุกพล่านอะไร แต่ยิ่งรู้จักจะยิ่งพบเสน่ห์ในแบบของเวียงจันทน์ เสน่ห์ของความเงียบสงบ วิถีชีวิตที่ราบเรียบ ไม่รีบเร่งนัก น่าจะทำให้คนที่ชีวิตเผชิญแต่ความรีบเร่งได้ตกหลุมรัก และได้มีเวลาหันกลับมามองตัวเองบ้าง

      ในตอนนี้อิ่มบุญกันไปแล้วเนื่องในวันปีใหม่ลาว ในเอนทรี่หน้าก่อนกลับไทยผมจะพาไปไหว้วัดสำคัญในเวียงจันทน์ช่วงเช้าอีก อย่างที่บอกว่านี่เป็นทริปแสวงบุญ และถ้าเป็นไปได้อาจจะปิดทริปที่ตอนหน้าครับ เดินทางมาถึงครึ่งทริปแล้วอยากจะขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ หรือใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่าน ทั้งทุกตอนก็ดี บางตอนก็ดี ขอขอบคุณทุกคนมาก ทุกคนทำให้ผมมีกำลังใจทำบล็อกต่อไป ขอบคุณทุกคนจากใจจริงครับ แล้วพบกันตอนหน้า :D

สรุปค่าใช้จ่ายวันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๖๑

  1. ค่าขึ้นประตูไซ                             ๓,๐๐๐ กีบ (๑๑ บาท)
  2. อาหารกลางวันร้านกาแฟโจมา    ๔๑,๐๐๐ กีบ (๑๕๘ บาท)                                       
  3. ทำบุญวัดสีสะเกด                        ๕,๐๐๐ กีบ (๑๙ บาท)                                     
  4. ทำบุญหอพระแก้ว                       ๑,๐๐๐ กีบ (๔ บาท )                           
  5. ทำบุญทาดหลวง                         ๒,๕๐๐ กีบ (๑๐ บาท)
  6. น้ำดื่ม                                        ๕,๐๐๐ กีบ (๑๙ บาท)                  
  7. ข้าวเปียกหมูเส้น                      ๑๕,๐๐๐ กีบ (๕๘ บาท)
  8. น้ำดื่ม                                        ๔,๐๐๐ กีบ (๑๖ บาท)
  9. โยเกิร์ตธรรมชาติ รสส้ม              ๙,๐๐๐ กีบ  (๓๕ บาท)
รวม ๘๕,๕๐๐ กีบ (๓๓๐ บาท) 
*เงินบาทเป็นการประมาณจากอัตราแลกเปลี่ยนวันที่เดินทางเท่านั้น
        
        

Related Articles

0 comments:

Post a Comment