SAMA'S Story : ตะลอนเมืองลาว (EP.3) ลิ้มรสแหนมเนือง ท่องราตรี ณ เวียงจันทน์
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตอนที่ ๓ ครับ ถึงจะเป็นตอนที่ ๓ แต่ก็ยังเล่าไปไม่ถึงไหนเลย ๕๕๕ ในตอนนี้จะพยายามเล่าให้กระชับและไหลลื่นมากขึ้นครับ :) สำหรับตอนนี้จะพาทุกท่านไปทานแหนมเนืองเจ้าดังในเวียงจันทน์ และพาเดินชมเมืองยามค่ำคืนของเวียงจันทน์กัน ถ้าพร้อมแล้วก็เกาะล้อตามมาเลยครับ !
หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถคลิกกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เพื่อความต่อเนื่อง!
************************************************************************************
*EP.1 เดินทางสู่หนองคายด้วยรถไฟที่เต็มไปด้วยมหาชน
*EP.2) พาชมแม่น้ำโขง กินไข่กระทะ หลงทางที่เวียงจันทน์
************************************************************************************
DAY-1 วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์) (วันเดียวเล่าได้ ๓ ตอนเลยเรอะ!!!)
ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ! เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นปลุกผมที่กำลังอยู่ในภวังค์ให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา เหลือบมองนาฬิกาตอนนี้ก็ ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาทีเข้าไปแล้ว จึงรีบอาบน้ำแต่งตัว ปะแป้งเย็นให้ชื่นใจ แล้วเดินออกจากโรงแรมไปหาอาหารเย็นกิน ในหัวมีแผนเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแล้วว่าจะไปกินแหนมเนือง ที่ร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง เพราะเห็นจากรีวิวแล้วดูสะอาด น่ากิน รอบนี้เตรียมตัวมาดีศึกษาเส้นทางจาก Wi-fi ที่โรงแรมมาเรียบร้อย คราวนี้ไม่หลงแน่นอน
เดินออกจากโรงแรมไปออกถนนสามแสนไทแล้วเลี้ยวซ้าย พอเจอหอวัฒนธรรมแห่งชาติด้านซ้ายมือแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็ก ๆ เดินไปประมาณ ๕๐ ก้าวจะเจอถนนเฮงบุน (Rue Hengboun) ด้านขวามือ ให้เดินเลี้ยวขวาเข้าถนนเฮงบุนไปแล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒๐๐ เมตรจะเจอร้านเวียงสวรรค์แหนมเนืองอยู่ทางซ้ายมือ สังเกตไม่ยากร้านกินเนื้อที่อาคารพาณิชย์ ๒ คูหา อยู่ตรงข้ามร้านอาหารเกาหลี ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเสียทีเพราะวันนี้ร้านไม่ปิด!
ที่ร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง บรรยากาศค่อนข้างคึกคักคงเพราะเป็นร้านแหนมเนืองชื่อดังในเวียงจันทน์ เพราะเท่าที่เดินเท้าสำรวจเมืองมายังไม่ค่อยเจอร้านแหนมเนืองคู่แข่งเลย
-ค่าเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ ๓ บาท
-รถทัวร์ไปเวียงจันทน์ ๖๐ บาท
-บัตรผ่านแดนตม. ลาว ๕ บาท
*EP.2) พาชมแม่น้ำโขง กินไข่กระทะ หลงทางที่เวียงจันทน์
************************************************************************************
DAY-1 วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์) (วันเดียวเล่าได้ ๓ ตอนเลยเรอะ!!!)
ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ! เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นปลุกผมที่กำลังอยู่ในภวังค์ให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา เหลือบมองนาฬิกาตอนนี้ก็ ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาทีเข้าไปแล้ว จึงรีบอาบน้ำแต่งตัว ปะแป้งเย็นให้ชื่นใจ แล้วเดินออกจากโรงแรมไปหาอาหารเย็นกิน ในหัวมีแผนเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแล้วว่าจะไปกินแหนมเนือง ที่ร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง เพราะเห็นจากรีวิวแล้วดูสะอาด น่ากิน รอบนี้เตรียมตัวมาดีศึกษาเส้นทางจาก Wi-fi ที่โรงแรมมาเรียบร้อย คราวนี้ไม่หลงแน่นอน
เดินออกจากโรงแรมไปออกถนนสามแสนไทแล้วเลี้ยวซ้าย พอเจอหอวัฒนธรรมแห่งชาติด้านซ้ายมือแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็ก ๆ เดินไปประมาณ ๕๐ ก้าวจะเจอถนนเฮงบุน (Rue Hengboun) ด้านขวามือ ให้เดินเลี้ยวขวาเข้าถนนเฮงบุนไปแล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒๐๐ เมตรจะเจอร้านเวียงสวรรค์แหนมเนืองอยู่ทางซ้ายมือ สังเกตไม่ยากร้านกินเนื้อที่อาคารพาณิชย์ ๒ คูหา อยู่ตรงข้ามร้านอาหารเกาหลี ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเสียทีเพราะวันนี้ร้านไม่ปิด!
ที่ร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง บรรยากาศค่อนข้างคึกคักคงเพราะเป็นร้านแหนมเนืองชื่อดังในเวียงจันทน์ เพราะเท่าที่เดินเท้าสำรวจเมืองมายังไม่ค่อยเจอร้านแหนมเนืองคู่แข่งเลย
จากโรงแรมมะลิน้ำพุเดินไปเพียง ๗๐๐ เมตรเท่านั้น
สเวนเซ่นส์ และเดอะพิซซ่า คัมปานี ณ เวียงจันทน์ เมนูข้าวเหนียวหมากม่วงก็ตามมาถึงที่นี่ด้วย
หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติลาว อยู่ตรงข้ามกับหอวัฒนธรรมแห่งชาติ ปัจจุบันย้ายที่ไปแล้วจึงปิดทำการ
เดินเลี้ยวซ้ายตรงหอวัฒนธรรมแห่งชาติ เดินมา ๓๐ ก้าวจะเจอถนนเฮงบุน เลี้ยวขวาโลด
นักท่องเที่ยว(น่าจะชาวเกาหลี) คงกำลังจะไปเช็คอิน
ธนาคารส่งเสริมกสิกรรม สาขานครหลวงเวียงจันทน์ (คงคล้าย ๆ ธกส. บ้านเรา)
เดินในเวียงจันทน์มาตั้งนาเพิ่งเจอร้านหนังสือร้านแรก ภายในร้านก็น่าสนใจมาก ๆ ด้วย มีคุณลุงใจดี กับน้องหมาเฝ้าร้านอยู่
หมูสะเต๊ะ และนมหนองโพโกอินเตอร์
เห็นร้านอาหารเกาหลีที่อยู่ตรงข้าม แสดงว่ามาถึง เวียงสวรรค์แหนมเนืองแล้ว
ถึงแล้ว เวียงสวรรค์แหนมเนือง!!!
เดินเข้ามาภายในร้านจะพบกับโต๊ะเก้าอี้มากมาย จึงเลือกเดินเข้าไปหามุมสงบริมในสุด นั่งได้สักพักก็มีบริกรสาวนำเมนูมาให้เลือกสั่งอาหาร ในเมนูมีภาพอาหาร และราคาระบุชัดเจน ที่น่าสนใจคือมีแหนมเนืองเซตสำหรับ ๑ คนด้วย ดังนั้นใครที่มาคนเดียวหมดกังวลเรื่องทานไม่หมดไปได้เลย สำหรับมื้อนี้ผมเลือกสั่งแหนมเนืองเซต ๑ คน เปาะเปี๊ยะสด ๑ จาน และน้ำอัดลมขวดเล็ก ๑ ขวด ระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟจึงคอยสอดส่องมองไปยังโต๊ะอื่น ๆ ว่าเขามีวิธีกินแหนมเนืองกันอย่างไร ถึงแม้ตอนอยู่ไทยจะเคยกินอยู่หลายหน แต่มีความคิดว่าที่ลาวอาจจะเป็นคนละสูตรกันก็เป็นได้จึงอยากลองศึกษาไว้จะได้ไม่เผลอทำอะไรเซ่อซ่า และผิดแปลกไปจากคนอื่น
นั่งรอราว ๑๕ นาที อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะทั้งหมดเรียบร้อย ความงงจึงเริ่มเกิดขึ้นเพราะปกติเวลากินแหนมเนืองจะต้องนำผักต่าง ๆ และเนื้อหมูมาราดน้ำจิ้มแล้วห่อลงในแป้งที่จุ่มน้ำจนอ่อนตัวแล้วจึงนำเข้าปาก แต่ที่ร้านนี้มีเพียงแป้งหนา ๆ สองแผ่นมาให้เท่านั้น เท่าที่สังเกตดูโต๊ะรอบข้างเห็นเขาใช้ใบผักมาห่อแทน คล้ายเมี่ยงคำจึงลองทำตามดู ความอร่อยจึงบังเกิดขึ้น น้ำจิ้มที่กลมกล่อมมีทั้งรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด กินคู่กับผักสด ๆ กระเทียม กล้วยดิบ พริกเขียว แตงกวา ขนมจีน และหมูเนื้อแน่น มันช่างเข้ากันอะไรขนาดนี้ พอผักที่ห่อแล้วหมด จึงลองนำแป้งมาห่อบ้างปรากฏว่าแป้งแข็งมากขนาดนำไปแช่น้ำก็ยังแข็งมากอยู่ดี TmT จึงทิ้งแป้งไว้อย่างนั้น แล้วเริ่มจัดการเมนูต่อไปคือ เปาะเปี๊ยะสดสอดไส้ผักนานาชนิด สำหรับคนที่ชอบทานผักน่าจะชอบ แต่คิดว่าตัวแป้งค่อนข้างเหนียวไปนิดทำให้ต้องใช้พลังฟันกรามในการเคี้ยวมาก แต่น้ำจิ้มทำรสชาติได้แซบอีหลี ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ ๓๔,๐๐๐ กีบเท่านั้น (ประมาณ ๑๓๐ บาท) ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก
เคยได้ยินมาว่าราคาอาหารที่ลาวค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับที่ไทย เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศไทย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะซอสปรุงรส ผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ในมินิมาร์ทที่ประเทศลาว ล้วนนำเข้าจากประเทศไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ และมีการขึ้นราคาจากปกติประมาณ ๕ - ๑๐ บาท ดังนั้นใครที่จะมาลาวแล้วคิดว่าข้าวของจะราคาถูกกว่าที่ไทยนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว
บรรยากาศในร้านเวียงสวรรค์ แหนมเนือง
อาหารมาแล้วว
แป้งอะไรทั้งหนา และแข็ง T_T
กินแบบนี้เลยแล้วกัน
เปาะเปี๊ยะสดไม่คิดว่าจะให้เยอะขนาดนี้ กินไป ๒ ชิ้นก็เริ่มรู้สึกอิ่มแล้ว แต่ในที่สุดก็กินหมดจนได้
ไส้เปาะเปี๊ยะสดอัดแน่นไปด้วยผักนานาชนิด
หลังจากจัดการกับอาหารเย็นจนแน่นท้องแล้วจึงจะไปเดินชมเมืองย่อยอาหารเสียหน่อย ขณะนี้เวลาเกือบ ๑ ทุ่มแล้ว คิดว่าสัก ๒ ทุ่มค่อยเดินกลับโรงแรมไปดูทีวี ตอนนี้ไม่ได้มีแพลนไปไหนเป็นพิเศษเพราะพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว จึงกะว่างั้นไปเดินชมแม่น้ำโขงยามค่ำคืนแล้วกัน แล้วค่อยเดินไปเก็บภาพประตูไซยามค่ำคืนเพราะเคยได้ยินมาว่าตอนกลางคืนที่ประตูไซจะเปิดไฟประดับสวยงาม แล้วเดินกลับโรงแรม
เดินออกจากเวียงสวรรค์แหนมเนืองแล้วเลี้ยวซ้ายเดินชมอาคารต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จึงพบว่าย่านถนนเฮงบุน ไปจนถึงถนนขุนบรม (Boulevard Khounboulom) เป็นย่าน Street Food ยามค่ำคืนที่คึกคักย่านหนึ่งในเวียงจันทน์ เพราะเต็มไปด้วยผู้คนและร้านอาหารในรูปแบบรถเข็นจำหน่ายอาหารนานาชนิด อาทิ ขนมหวาน ฝอยทอง บัวลอย สังขยาฟักทองก็มี เฝอที่พบเห็นแทบทุกหัวมุมถนนในเวียงจันทน์ ผลไม้ตามฤดูกาล โรตี มะตะบะ น้ำผลไม้ปั่น เป็นต้น ที่น่าแปลกใจคือ ร้านอาหารเกาหลีที่พบเห็นได้มากกว่าร้านอาหารสัญชาติอื่น ๆ ไม่นับเวียดนาม อาจเป็นเพราะคนเกาหลีนิยมมาเที่ยวประเทศลาวมากขึ้น เพราะเท่าที่เดินผ่านนักท่องเที่ยวชาวเอเชียส่วนมากจะได้ยินเขาพูดภาษาเกาหลีกัน บางคนอาจไม่ได้ยินเขาพูดแต่การแต่งตัวและท่าทางก็เดาออกได้ไม่ยาก ต่างจากคนจีนที่ส่วนใหญ่จะเห็นมาในรูปแบบของนักธุรกิจที่มาลงทุนในเวียงจันทน์มากกว่า
เดินตรงไปเรื่อย ๆ เลยย่าน Street Food ไปไม่ไกลจะเจอกับวัดอินแปงทางซ้ายมือ ซึ่งผมตั้งใจจะไปเยี่ยมชมในวันถัดไป เพราะตอนนี้มืดจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว ระหว่างทางมีการเล่นน้ำสงกรานต์บ้างประปราย ผ่านวัดอินแปงไปประมาณ ๑๐๐ เมตรจะพบป้ายบอกทางไปอนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งล้านช้าง ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ผมจึงเดินตรงตามป้ายไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็พบกับสิ่งที่น่าตะลึง คือแสงจากสปอร์ตไลท์ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา สาดแสงไปมาทั่วท้องฟ้าที่มืดมิดทำให้ยิ่งดูโดดเด่นขึ้นมา ร้านค้าต่าง ๆ ที่มาออกร้านขายสินค้ากันกว่าหลายร้อยร้านเรียงเป็นแนวยาวเลียบแม่น้ำโขง ทุกร้านเปิดไฟประดับประดาจนสว่างจ้าไปหมด ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่ มีซุ้มให้ปาลูกโป่งชิงโชคทำให้หวนนึกถึงสมัยที่ยังเป็นเด็กคล้ายงานเทศกาลในเมืองไทย เมื่อเดินเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ เสียงดนตรี และเสียงเพลงจากเวทีที่อยู่ไกลออกไปได้ดังเล็ดลอดหูเข้ามา ทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ต่างวิ่งกันจอแจ ในที่สุดความสงสัยก็คลี่คลายลงเมื่อมาเจอป้าย สะบายดีปีใหม่ อ่อ จัดงานสงกรานต์กันริมแม่น้ำโขงนี่เอง ถึงว่าไม่ค่อยเห็นคนในเมืองเล่นน้ำกันเท่าไหร่ กลิ่นขนมปังปิ้งร้อน ๆ กลิ่นไส้กรอกที่ย่างใหม่ ๆ และกลิ่นชีสย่างที่ลอยเข้ามาติดจมูกนั้นทำอะไรผมไม่ได้ เพราะแหนมเนืองกับเปาะเปี๊ยะสดทำผมอิ่มมากจนไม่อยากหาอะไรยัดลงท้องอีกแล้วจึงได้แต่เดินชมบรรยากาศริมฝั่งโขงไป สอดส่องสายตาไปยังฝั่งไทยซึ่งตรงข้ามกับ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย นั้นก็ดูเหมือนจะมีมหรสพเช่นเดียวกัน เพราะเห็นแสงไฟหลากสีและเสียงดนตรีหมอลำที่ดังข้ามแม่น้ำโขงมาถึงเวียงจันทน์ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยู่ไม่ไกลบ้านมากขึ้นไปอีก และรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น แม้จะมีงานเทศกาล มีเสียงดังของมหรสพแต่ก็ยังพบชาวเวียงจันทน์ และนักธุรกิจชาวจีนมาวิ่งออกกำลังกายกันริมโขง บางคนก็จูงสุนัขมาวิ่งออกกำลังกายกันด้วย ทั้ง ๆ ที่ภายนอกออกจะวุ่นวายขนาดนี้แต่กลับรู้สึกว่าใจมันสงบแปลก ๆ ระหว่างที่เดินชมเทศกาลไปเรื่อย ๆ ก็พบกับซุ้มเบียร์ลาวแต่ไม่ได้ไปลองชิมนะ ๕๕๕ ซุ้มกาแฟดาว กาแฟชื่อดังของลาว และเจอกระทั่งรถกระบะมาขายเสื้อผ้ามือสองสนนราคาที่ตัวละ ๕,๐๐๐ กีบ (๒๐ บาท) ทั้งร้านเท่านั้น แม้แต่บริเวณหาดดอนจัน (ชื่อหาดทรายในแม่น้ำโขงฝั่งนครหลวงเวียงจันทน์) ยังเต็มไปด้วยร้านค้าที่มาตั้งขาย เดินไปไม่นานนักก็มาถึงอนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ อนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์เป็นที่เคารพสักการะของชาวลาวจึงเต็มไปด้วยพวงมาลัย และดอกไม้ เดินไปข้าง ๆ จะพบจารึกบทกลอนซึ่งเขียนด้วยอักษรลาว น่าจะเล่าถึงพระราชประวัติของเจ้าอนุวงศ์
ด้านหลังอนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อสวนเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งค่อนข้างเงียบเพราะมืดแล้ว (ไม่แนะนำให้เดินคนเดียวเพราะเห็นมีคนเมาถอดเสื้อผ้าเดินรอบสวนไปมา) เดินออกจากสวนเจ้าอนุวงศ์ จะเห็นอาคารสไตล์โคโลเนียลหลังใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า ซึ่งคนลาวเรียกว่า หอคำ หรือทำเนียบประธานประเทศ ( Palais Presidentiel) ปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะ จากนั้นผมจึงเดินเลียบถนนไปทางขวาแล้วเดินวกกลับไปริมแม่น้ำโขงอีกครั้ง ริมแม่น้ำโขงมีถนนคอนกรีตที่สร้างให้ประชาชนมาเดินออกกำลังกาย มีไฟฟ้าส่องสว่างตลอดทาง ปัจจุบันริมแม่น้ำโขงเต็มไปด้วยศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารต่าง ๆ ที่นักลงทุนชาวจีนเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เมื่อเดินริมโขงยามค่ำคืนจะพบชาวจีนมาดธุรกิจคุยโทรศัพท์กันโช้งเช้ง ได้มากกว่าชาวลาวเสียอีก ที่เห็นว่าลาวมีโครงการใหญ่ ๆ ผุดขึ้นมามากมายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ล้วนเป็นอิทธิพลจากทุนจีนทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าถ้าได้มาเวียงจันทน์อีกรอบจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนกันนะ? แต่ถึงอย่างนั้นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวลาวก็ยังพบเห็นได้อยู่ แม้อีกมุมถนนจะเป็นห้างร้านใหญ่โตที่สร้างด้วยทุนจีน แต่ในอีกมุมถนนก็จะพบเห็นชาวบ้านมานั่งปูเสื่อที่พื้นแล้วขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หรือปลาที่ตนหามาได้ในราคาย่อมเยา ดูเหมือนจะเป็นภาพที่ขัดแย้งกันแต่คนในทั้งสองมุมต่างก็มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจของลาวกันทั้งนั้น
เดินเลียบริมโขงมาได้ราว ๕๐๐ เมตรก็ต้องประหลาดใจกับตึกสูงด้านซ้ายมือ จากที่เดินรอบเวียงจันทน์มาอาจจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในเวียงจันทน์ก็เป็นได้ ตึกนี้เป็นโรงแรมมีชื่อว่า ดอนจัน พาเลซ เดินเลยโรงแรมมาอาคารบ้านเรือนเริ่มบางตา รู้สึกตัวอีกทีรอบตัวก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดเสียแล้ว หันมองกลับไปทางที่เดินมายังมองเห็นสปอร์ตไลท์จากงานสงกรานต์ทำให้อุ่นใจขึ้นมาได้ระดับนึง จึงตัดสินใจยุติการเดินริมโขงแต่เพียงเท่านี้แล้วเดินหาถนนล้านช้างเพื่อไปถ่ายรูปประตูไซ เนื่องจากการเดินเที่ยวเวียงจันทน์ยามราตรีนี้ไม่อยู่ในแผนตั้งแต่แรกจึงไม่ได้ดูแผนที่เตรียมเอาไว้ การเดินทางต่อจากนี้จึงอาศัยการจับทิศทางด้วยสัญชาตญาณตัวเองล้วน ๆ ประกอบกับเริ่มจำชื่อถนนหลัก ๆ ในเวียงจันทน์ได้แล้วจึงมั่นใจตัวเองมากว่า ไม่หลงหรอก เดินไปเดินมาเรื่อย ๆ เห็นวัดหนึ่งสวยดี เลยเดินเข้าไปถ่ายรูป ในวัดมืดมากและไม่มีคนเลยสักคนแต่ก็รีบถ่ายแล้วรีบออกมา เดินไปเรื่อย ๆ เจอโรงหมอมโหสถ (โรงพยาบาลมโหสถ) โรงพยาบาลชั้นนำในเวียงจันทน์ เดินไปอีกนิดก็ไปโผล่หน้าหอคำซึ่งเป็นต้นสายของถนนล้านช้าง ฝั่งตรงข้ามเป็นวัดสีสะเกด วัดเก่าแก่ในเวียงจันทน์ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเที่ยว เริ่มโล่งใจที่ในที่สุดก็ไม่หลงทาง เดินตรงไปตามถนนล้านช้างเรื่อย ๆ ประมาณ ๑ กิโลเมตรก็จะถึงประตูไซ แต่ไม่ได้ข้ามฝั่งไปถ่ายฝั่งตรงข้ามแล้วกัน ตอนกลางคืนเปิดไฟสวยงามจริง ๆ ด้วย ไม่เสียแรงที่ตอนม.ปลาย เรียนสายศิลป์ฝรั่งเศสมา ถึงจะยังไม่ได้ไปดูที่ปารีส แต่ก็รู้สึกตื้นตันใจไม่แพ้กัน
หลังจากประทับใจและเก็บภาพประตูไซจนพอใจแล้วจึงคิดว่าควรจะกลับโรงแรมได้แล้วเพราะตอนนี้ก็เกือบ ๓ ทุ่มแล้ว จึงเดินกลับ ความเป็นจริงแล้วควรเดินย้อนกลับไปทางถนนล้านช้างที่คุ้นเคย แล้วเดินเลี้ยวขวาเข้าถนนสามแสนไท แต่เพราะความคิดว่ามาอยู่หน้าประตูไซแล้วไม่่เห็นต้องเดินย้อนกลับไปเลย เดินเลี้ยวซ้ายหน้าประตูไซไปแล้วเดินย้อนกลับไปตรงถนนที่อยู่ในทิศทางที่น่าจะขนาบถนนล้างช้างก็ได้ ยังไงถนนมันก็น่าจะไปบรรจบกันได้อยู่ดี ประกอบกับความมั่นใจที่เมื่อกี้สัญชาตญาณพาตัวเองมาถูกทาง จึงตัดสินใจลองเดินทางใหม่ทั้งที่เวลาดึกดื่นป่านนี้ ในต่างประเทศ? ข้างทางเป็นชุมชนใหญ่และมีห้างสรรพสินค้า แรก ๆ ยังตื่นเต้นและถ่ายรูปมากมาย พอถนนเริ่มแคบเรื่อย ๆ จนน่าจะเรียกว่าซอยมากกว่าจึงเริ่มตระหนักได้ว่า หรือจะลงทางนะ? แต่แล้วความคิดนี้ก็เลือนหายเมื่อเจอถนนใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย เห็นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่ลาวตอนกลางคืนมีเด็กวัยรุ่นมาใช้บริการกันหนาตา เห็นวัดแปลก ๆ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อแต่ก็ยังเดินอย่างสบายใจ จนโดนสุนัขไล่เห่า จึงเลี่ยงไปเดินในซอยแคบ ๆ เห็นร้านขายของชำ วิถีชีวิตชาวลาวยามค่ำคืนที่มานั่งล้อมวงสังสรรค์กันเป็นครอบครัวใหญ่ คงคล้ายวันสิ้นปีที่เมืองไทย วันนี้เขาไม่ค่อยเล่นน้ำกันจริง ๆ ด้วย แต่ดูเหมือนจะสังสรรค์กินอาหาร ดื่มเหล้า เบียร์กันมากกว่า เดินไปเรื่อย ๆ พบว่าซอยตัน แต่แล้วก็มาเจอถนนใหญ่อีกครั้ง คราวนี้คงหลงทางจริง ๆ แล้ว ความคิดที่ว่าคงต้องขอความช่วยเหลือใครสักคนจึงเกิดขึ้น ไม่ได้ซื้อซิมมาใช้งานด้วยไม่งั้นคงเปิดดูแผนที่ได้ แต่รอบข้างมีแต่บ้านคนที่ปิดหมดแล้วจึงเดินหาร้านค้า ในที่สุดก็เจอคุณลุงท่าทางใจดีจึงลองถามทางแก
"ขอโทษครับ ถนนล้านซ้างอยู่บ่อนได๋ครับ " ผมถาม
"ถนนล้านช้าง ไกลหลาย เจ้าย่างซื่อ ๆ เลี้ยวขวัวแล้วไปกงจะเจอถนนล้านช้าง" คุณลุงอธิบายด้วยเสียงเนิบ ๆ
ผมจึงเดินตามที่คุณลุงบอกและไม่ลืมที่จะพูด ขอบใจ ก่อนจากไป แน่นอนว่าก็ยังหาถนนล้านช้างไม่เจออยู่ดี จึงคิดว่าควรจะขอความเชื่อเหลืออีกพอดีเจอมินิมาร์ท M-Point Mart พอดี ที่ลาวไม่มีเซเว่น แฟมิลีมาร์ท แต่มี M-Point Mart เต็มไปหมด จึงเดินเข้าไปแล้วหยิบโซดามาดื่มแก้กระหายสักขวด ขนาดที่กำลังจ่ายเงินก็ไม่ลืมถามทางพี่พนักงานสาว คราวนี้ถามทางไปถนนสามแสนไท เลยแล้วกันเพราะเป็นที่ตั้งโรงแรม เขาบอกให้เดินตรงไป เจอไฟแดงให้เลี้ยวซ้าย จึงพูดขอบใจแล้วเดินต่อไป จณะนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบ ๔ ทุ่มแล้ว ในที่สุดความรู้สึกเหมือนรอดชีวิตก็ปรากฏขึ้นมาเพราะอยู่บนถนนสามแสนไทแล้ว และเจอธนาคารทหารไทย สาขานครหลวงเวียงจันทน์ หน้าธนาคารมีป้อมยามอยู่จนลองไปถามทางพี่ในป้อมยามอีกทีเพื่อความแน่ใจ คราวนี้ถามว่าน้ำพุไปทางไหน พี่แกไม่รู้จักน้ำพุแต่บอกว่าเลี้ยวซ้ายไปมีน้ำพุอยู่ ผมก็เชื่อพี่เขาครับแต่เมื่อเดินไปเป็นกิโลได้รู้สึกว่าน่าจะผิดทางแล้วจนในที่สุดก็ถึงจุดสิ้นสุดของถนนสามแสนไทอ้าว หลงจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อพี่ยามเลย สิ่งที่เจอคืออนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม ปฐมกษัตริย์แห่งล้านช้าง และก็มีน้ำพุประดับตรงอนุเสาวรีย์จริง ๆ T_T (คนละน้ำพุกันครับพี่ )
รู้สึกหายนะมาเยือนไม่รู้จะเดินกลับไปทางไหนดี ถึงจะยืนอยู่บนถนนสามแสนไทแล้วก็ตาม เห็นพี่สกายแลปยืนอยู่จึงเดินไปถามทางอีกครั้งคราวนี้พูดชื่อโรงแรมมาเลย พี่เขาบอกว่าไกลนะ นั่งรถไปบ่? กะแล้วว่าต้องมาไม้นี้แต่ก็ยอมเพราะเหนื่อยแล้ว สรุปพี่แกพาวนอนุเสาวรีย์ไปอีกถนนหนึ่งเป็นเกือกม้าทำให้รู้ว่าตัวเองเดินเลี้ยวผิดทาง (ต้องเลี้ยวขวาหน้าธนาคารทหารไทย) นั่งรถไปประมาณ ๕ นาทีได้รถก็พามาส่งถึงหน้าโรงแรมเรียบร้อย เสียค่าประสบการณ์ไป ๕๐,๐๐๐ กีบ (๑๙๒ บาท) T_T ความจริงแล้วจากอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้มไปมะลิน้ำพุน่าจะไม่เกิน ๒ กิโลเมตรด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นไร ๔ ทุ่มครึ่งดึกแล้ว คราวนี้จะจำทางในเวียงจันทน์ให้ขึ้นใจ และไม่เสี่ยงกับอะไรที่ไม่แน่ใจอีกแล้ว...
ร้านสะดวกซื้อ M-Point Mart พบได้แทบทุกหัวมุมในเวียงจันทน์
ย่าน Street Food ยามราตรี ณ เวียงจันทน์
ย่านของกินคนย่อมมากเป็นธรรมดา
การจราจรยามเย็นย่านของกินในเวียงจันทน์
ถนนขุนบรม คงเพราะเป็นอิทธิพลจากภาษาฝรั่งเศสชื่อถนนในเวียงจันทน์เลยใช้แบบฝรั่งเศสคือ Rue Boulevard และAvenue
วัดอินแปงหวันมุ้งมิ้ง (ยามโพล้เพล้)
สิมวัดอินแปง (อุโบสถ)
อิทธิพลจากเกาหลีได้ขยายมาถึงเวียงจันทน์เป็นที่เรียบร้อย ทั้งร้านอาหาร ทั้งคาเฟ่สไตล์เกาหลี
มีชาวจีนมาเล่นน้ำสงกรานต์กันด้วย
ฝาก รถยนต์ รถจักรยานยนต์
ปาโป่งกันไหมของรางวัลมีตั้งแต่ตุ๊กตาหมีไปจนถึงเบียร์ลาว
ให้อารมณ์งานเทศกาลบ้านเรามาก
ร้านค้าเยอะแยะมากมาย คนก็หลายคือกันเนาะ
หากใครชอบความสงบแนะนำให้มาปาลูกโป่งตรงนี้ ฉากหลังคือประเทศไทย
บูธกาแฟดาว กาแฟชื่อดังของประเทศลาว
ไส้กรอกบ่ ไส้กรอกฮ้อน ๆ
ชีสสสสสสสส
ของเล่นสำหรับน้อง ๆ หนู ๆ ก็มี ครบครันจริง ๆ สำหรับเทศกาลใหญ่
มองไปยังฝั่งประเทศไทย อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ก็น่าจะกำลังครื้นเครงเหมือนกัน
ค่ำ ๆ มืด ๆ แต่คนหลายแท้
ตัวละ ๕๐๐๐ กีบเท่านั้น
เปลี่ยนความมืดกลายเป็นความสว่างทันใด มองไปริมฝั่งโขง
ยาวสุดลูกหูลูกตา
อนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์
บทกลอนจารึกข้างอนุเสาวรีย์ เจ้าอนุวงศ์
หอคำ Palais Presidentiel สร้างรูปทรงเลียนแบบพระราชวังแวร์ซาย สมัยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส
หันหลังไปทางอนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์
ป้ายหน้าหอคำ Palais Presidentiel
ห้องน้ำสาธารณะ
ห้างร้านใหญ่โต โดยทุนจีน ริมแม่น้ำโขง
ในฝั่งตรงข้ามชาวบ้านกำลังนั่งขายปลาที่เพิ่งตกได้
คนหลาย รถก็หลาย
Miniso ก็มาบุกเวียงจันทน์แล้ว
โรงแรมดอนจัน พาเลซ น่าจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในเวียงจันทน์
รัดสายนิรภัยทุกครั้งเวลาขับขี่รถ
ชาบูนางใน ณ เวียงจันทน์
วัดที่เดินผ่านโดยบังเอิญ จำชื่อไม่ได้แล้ว
แอบเข้าไปถ่ายรูปด้านในวัด
การแกะสลักลวดลายกลีบบัวบนซุ้มประตูวัด
ร้านนี้ก็กำลังเล่นสงกรานต์กัน
หยุด !
ป้ามห้ามบีบแตรหรือเปล่านะ?
ถนนมโหสถ
โรงพยาบาลมโหสถ ปลอดควันบุหรี่
ด้านหน้าหอคำ Palais Presidentiel ถ่ายจากวัดสีสะเกด จุดเริ่มต้นของถนนล้านช้าง
แบงก์สยามกัมมาจล
ตลาดเช้าพลาซ่า ยามค่ำคืน
หอสมุด นครหลวงเวียงจันทน์
ประตูไซ สร้างขึ้นหลังได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส พ.ศ.๒๕๐๐
Le Patuxai est un arc de triomphe du centre de Vientiane!
ด้านหน้าประตูไซ
ประตูไซ กับต้นจำปา (ลีลาวดี) ดอกไม้ประจำชาติลาว
ประตูไซอีกมุม
งามทุกมุม
ห้างสรรพสินค้าอีกห้างใน เวียงจันทน์ (ตึกสไตล์โคลโลเนียล)
วัดที่เดินผ่านตอนหลงทาง
อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ยามค่ำคืน ณ เวียงจันทน์
โรงแรมโหยวหาวหนานวู่
ระหว่างถามทางพี่พนักงาน M-Point Mart ก็ช่วยอุดหนุนโซดาลาวมาดื่มคลายความล้า
โรงแรม Mercure ตั้งอยู่ตรงข้าม อนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม ก่อนที่จะไปเจอพี่สกายแลป
หลังจากทำใจเรื่องค่าประสบการณ์ที่จ่ายให้พี่สกายแลปไปแล้วจึงเดินเข้าโรงแรมขึ้นไปตากแอร์ในห้องพักให้สบายอารมณ์ แล้วเปิดทีวีนอนใต้ผ้าห่มหนาบนเตียงนุ่ม ๆ อย่างสบายใจ แม้ทีวีจะภาพไม่ค่อยชัด ห้องพักจะดูเก่าหน่อย ๆ แต่สภาพก็ถือว่าดีมากสำหรับราคา ๗๐๐ กว่าบาท ทีวีที่ลาวรับช่องจากไทยได้ด้วย แต่มาลาวทั้งทีเลยอยากดูช่องลาว ภาษาลาวฟังเข้าใจง่ายกว่าภาษาอีสานในความคิดเห็นส่วนตัว แต่คงเพราะเป็นสำเนียงมาตรฐาน ประกอบกับการพูดที่เนิบช้า และสำเนียงที่คล้ายคลึงกระเดียดไปทางภาคกลางตอนบน กับภาคตะวันตกของไทยที่พูดด้วยสำเนียงเหน่อแต่ใช้ศัพท์ลาวเลยฟังไม่ยากมากทำให้นึกถึงตอนที่ศึกษาประวัติศาสตร์เคยได้ยินว่าสำเนียงหลวงสมัยอยุธยามีสำเนียงการพูดคล้ายกับสำเนียงชาวหลวงพระบาง จึงน่าจะเป็นไปได้ที่จะมีความเชื่อมโยงกันอยู่ แม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม...
จุดให้บริการคอมพิวเตอร์ บริเวณลอบบี้โรงแรม
ลอบบี้โรงแรม
บริเวณที่รับประทานอาหารเช้าของโรงแรม
ป้ายบอกทางไปห้องพัก
ขึ้นบันไดไปห้องพัก ผมอยู่ชั้น ๔
ห้องน้ำภายในห้องพัก
มีน้ำอุ่นด้วย ซึ่งร้อนมาก ๆ
เตียงนอนแสนสบาย
ทีวีระดับฟลูเอชดี
ตู้เย็น
กระจกและตู้เสื้อผ้าก็มี
แปรงสีฟัน สบู่ ที่โกนหนวด หวี ยาสีฟัน ผ้าขนหนู ที่โรงแรมมีเตรียมให้หมด
วันนี้รู้สึกใช้ชีวิตคุ้มมาก เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในวันเดียวมีทั้งเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกผิดหวังที่อดกินไข่กระทะ ร้านทานตะวัน และเฝอแซบ อารมณ์ลุ้นระทึกที่รู้ว่าไม่มีตั๋วไปวังเวียง อารมณ์สมหวังที่ได้กินแหนมเนืองร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง อารมณ์มั่นใจในตัวเองตอนใช้สัญชาตญาณพาตัวเองไปประตูไซถูก อารมณ์หมดที่พึ่งตอนหลงทาง แต่ก็เป็นวันที่สอนอะไรเราเยอะเหมือนกัน สำหรับวันแรกในเวียงจันทน์ ถือว่าเวียงจันทน์ให้บทเรียนมาเยอะทีเดียว หวังว่าพรุ่งนี้จะโปรขึ้นนะ พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวชมเทศกาลสงกรานต์ในเวียงจันทน์ว่าชาวเวียงจันทน์ทำอะไรกับบ้่าง และพาไปชมแลนมาร์คสำคัญที่ใคร ๆ ก็ต้องไป อย่าลืมติดตาม และให้กำลังใจผมด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ สำหรับวันนี้หลับฝันดีครับ :D
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง (ทั้งวัน (วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑)
-ค่าเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ ๓ บาท
-น้ำดื่ม ๑๔ บาท
-ไข่กระทะ ๓๐ บาท
-โกโก้ ๓๕ บาท-รถทัวร์ไปเวียงจันทน์ ๖๐ บาท
-บัตรผ่านแดนตม. ลาว ๕ บาท
-เฝอและน้ำดื่ม ๑๘,๕๐๐ กีบ (๗๐ บาท)
-สายลมเย็นโฮสเทล ๒๔๓.๐๑ บาท
-อาหารเย็นร้านเวียงสวรรค์ ๓๔,๐๐๐ กีบ (๑๓๐ บาท)
-โซดา ๒,๕๐๐ กีบ (๙ บาท ๕๐ สตางค์)
-ค่ารถสกายแลป ๕๐,๐๐๐ กีบ (๑๙๒ บาท)
รวม ๗๙๑.๕๑ บาท ๑๐๕,๐๐๐ กีบ
*วันแรกก็ใช้เงินเป็นแสนแล้ว
0 comments:
Post a Comment