Sunday, 24 June 2018

SAMA'S Story : ตะลอนเมืองลาว (EP.6) ชมวัดวาในเวียงจันทน์ ลัดเลาะเมืองอุดร ก่อนกลับบ้าน


         ສະ​ບາຍ​ດີ​! ทุกท่าน เดินทางเข้าสู่เอนทรี่ที่ ๖ แล้ว เอนทรี่นี้จะปิดทริปแล้ว เย่! ในเอนทรี่นี้ผมจะพาทุกท่านไปไหว้พระ ๔ วัดต้องห้าม(พลาด) ในเวียงจันทน์ เป็นสิริมงคลยามเช้าก่อนข้ามไปฝั่งไทย และจะพาทุกท่านไปเลาะเมืองอุดรธานีก่อนพานั่งรถไฟตู้นอนรุ่นใหม่ล่าสุดกลับบ้าน ถ้าทุกท่านพร้อมจะปิดทริปไปด้วยกันแล้วก็ตามมาด้วยกันเลยครับ!!!

หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถคลิกกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เพื่อความต่อเนื่อง!

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

DAY-3 วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์) 

       คืนที่สองในเวียงจันทน์ผ่านไปด้วยดี ในช่วงเวลาสี่วันสามคืนตั้งแต่วันที่เริ่มออกเดินทางเป็นช่วงเวลาที่สั้นก็จริง แต่กลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แม้เอนทรี่นี้จะเขียนหลังเดินทางมาสองเดือนแล้วก็ตาม แต่กลับสามารถนำมาถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ถึง ๖ ตอน พอนึกย้อนไปตั้งแต่วันที่ตัดสินใจจองที่พัก จองตั๋วรถไฟ เริ่มวางแผนเที่ยว หาข้อมูล ทำงานเก็บเงินแล้วก็อมยิ้มไม่ได้ที่ในที่สุดทริปที่วางแผนมากว่า ๓ เดือน ในวันนี้ใกล้จะสำเร็จแล้วนะ :)

เวลาตี ๕ ครึ่ง ไม่รู้เป็นเพราะความตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้านหรือเปล่า ทำให้ผมตื่นขึ้นมาก่อนที่นาฬิกาจะปลุกเสียอีก ในห้องนอนรวมที่โฮสเทลแห่งนี้ ณ เวลานี้เงียบสงัดนักมีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจเล่นโทรศัพท์รอเวลาสัก ๖ โมงเช้า ค่อยลุกไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัว ในยามเช้าเช่นนี้ห้องน้ำรวมก็เปรียบเสมือนห้องน้ำส่วนตัว เพราะไม่มีใครมาใช้เลยสักคน ได้อาบน้ำอุ่น ๆ ยามเช้าแล้วความง่วงก็หายไปในพริบตา

เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลา ๗ โมงเช้าผมจึงเก็บข้าวของสัมภาระทั้งหมด แล้วลงมานั่งรออาหารเช้าของโฮสเทลที่ชั้น ๑ เตรียมเช็คเอาท์ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครเลย มีเพียงพนักงานของโฮสเทลเท่านั้น อาหารเช้าของสายลมเย็นโฮสเทล มี ๒ เซตให้เลือกคือ ซีเรียล กับข้าวต้ม และจะเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่เวลา ๐๘:๐๐ น. ผมอยากทานอะไรเบา ๆ เลยเลือกเซตซีเรียลไป เพราะหมายใจไว้ว่าจะเก็บที่ว่างในท้องไว้ไปลองข้่าวจี่ปาเต (ขนมปังฝรั่งเศสใส่ตับ และผักคล้ายแซนด์วิช)ก่อนกลับไทย นั่งรออาหารเช้าประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะตอนนี้ยังไม่ ๘ โมง แต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยเพราะที่โฮสเทลเปิดเพลงสบาย ๆ คลอตลอด อีกทั้งการตกแต่งของร้านที่ให้บรรยากาศสบาย ๆ เผลอแปปเดียวก็ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว เซตซีเรียลของโฮสเทลจะเป็นซีเรียลธัญพืชใส่นมสดถ้วยใหญ่ เสิร์ฟพร้อมกล้วย ๒ ลูก และน้ำดื่ม ถือว่าใช้ได้พออยู่ท้องทำให้มีเรี่ยวแรงไปเดินเที่ยวยามเช้าได้สบาย ๆ...

 บรรยากาศยามเช้าตรู่ ที่คาเฟ่ชั้น ๑ ของโฮสเทล

นั่งรอไม่นานนัก อาหารเช้าก็มาเสิร์ฟ

จัดการกับซีเรียลจนเกลี้ยงแล้วก็มีแขกเข้ามาเช็คอิน (เช็คอินตอนเช้าได้ด้วยเหรอ???) เป็นผู้หญิงชาวญี่ปุ่นวัยกลางคน มาเที่ยวคนเดียวและพรุ่งนี้มีแพลนจะไปหลวงพระบางต่อ เป็นการเจอกับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นในเวียงจันทน์เป็นครั้งแรกเลย ถ้ามีเวลาและเงินเหลือต่ออีกสักนิดผมก็อยากไปหลวงพระบางต่อเหมือนกัน :D หลังจากที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนนั้นขึ้นห้องพักไปแล้ว ผมจึงไปเช็คเอาท์และแน่นอนว่าได้เงินมัดจำคืนมา ๕๐,๐๐๐ กีบ (มีเงินเที่ยวเพิ่มแล้ว)

เมื่อเดินออกมาจากโฮสเทลแล้วจุดหมายต่อไปคือ สถานีขนส่งตลาดเช้า เพื่อจองตั๋วรถทัวร์ไปอุดรธานี จากโฮสเทลเดินเลี้ยวขวาไปตามถนนสายลม เมื่อถึงแยกถนนขุนบรมให้เดินเลี้ยวซ้ายเข้าถนนขุนบรมแล้วเดินตรงไปจนสุดจะไปบรรจบกับถนนล้านช้างตรงข้ามกับศูนย์การค้าตลาดเช้าพอดี สถานีขนส่งตั้งอยู่ด้านหลังศูนย์การค้าตลาดเช้า(ต้องเดินข้ามถนนไป) บรรยากาศยามเช้าที่สถานีขนส่งดูคึกคักผมจึงรีบหยิบหาสปอร์ตเดินไปที่ขายตั๋วรถช่องอุดรธานีที่มีคุณป้าใจดีกำลังนั่งขายตั๋วอยู่ทันที

"ไปอุดรรอบ ๑๑ โมงครึ่ง ๑ คนครับ" ผมพูดอย่างรีบร้อน
"จะจ่ายเป็นบาทหรือเป็นกีบ" คุณป้าคนขายตั๋วถามอย่างใจเย็น
"จ่ายเป็นบาทครับ" ผมตอบโดยที่ยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำ
"๑๐๐ บาท" คุณป้าคนขายตั๋วบอกราคา
"'งั้นจ่ายเป็นกีบแล้วกันครับ แหะแหะแหะ" ผมพูดพลางหัวเราะกลบเกลื่อนเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินไทยอยู่ประมาณ ๑๒๐ บาทเท่านั้น เก็บเอาไว้ใช้ตอนฉุกเฉินน่าจะดีกว่า
"๒๒,๐๐๐ กีบ ค่าธรรมเนียม ๒,๐๐๐ กีบ เป็น ๒๔,๐๐๐ กีบ " คุณป้าคนขายตั๋วตอบ

ผมจ่ายเงินให้คุณป้าอย่างรู้สึกผิดกลัวแกคิดว่าผมตั้งใจจะแกล้งแก แต่ ๒๔,๐๐๐ กีบนี่ประมาณ ๙๐ กว่าบาทเท่านั้น ใช้เงินกีบคุ้มค่ากว่าจริง ๆ ด้วย :)...

 จากถนนขุนบรมเดินตรงมาเรื่อย ๆ จะบรรจบกับถนนล้านช้าง ฝั่งตรงข้ามด้านขวามือคือศูนย์การค้าตลาดเช้า

เดินเลียบถนนคูเวียง ข้างศูนย์การค้าตลาดเช้าไปประมาณ ๑๐๐ เมตรจะเจอสี่แยก 

 ถึงสี่แยกแล้ว ฝั่งตรงข้ามที่มีป้ายสีน้ำเงินคือ สถานีขนส่งตลาดเช้า

 เดินข้ามฝั่งมาจะเจอที่ขายตั๋วรถทัวร์ไปไทยมีไปหนองคาย อุดร และขอนแก่น

ได้ตั๋วรอบ ๑๑ โมงครึ่งมาแล้ว เย่ (คนแรกเสียด้วย)

         ขณะนี้เวลาประมาณ ๘ โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกราว ๓ ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขึ้นรถ ผมเลยตั้งใจจะไปเดินเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวในเวียงจันทน์ที่ยังไม่ได้ไป จุดหมายแรกของวันนี้คืออนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม ปฐมกษัตริย์แห่งล้านช้าง ที่ที่ผมไปเดินหลงทางตอนกลางคืนในวันแรกที่มาเวียงจันทน์ T_T เส้นทางไปก็ไม่ยากเดินตรงไปบนถนนสามแสนไทเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดถนนจะเจอสามแยกรูปตัว Y ที่ถนนเศรษฐาธิราช กับถนนสามแสนไทมาบรรจบกันเป็นทางหลวงหมายเลข ๑๓ ไปสนามบินนานาชาติวัตไต อนุเสาวรีย์ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือ ระยะทางจากสถานีขนส่งตลาดเช้าประมาณ ๒ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณครึ่งชั่วโมง...

  
เส้นทางจากสถานีขนส่งตลาดเช้า ไปอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม

รอบ ๆ ตลาดเช้ามีร้านขายของบนทางเท้าเช่นกัน ส่วนมากเป็นพวกรากไม้

เดินมาเจอธนาคารกสิกรไทย สาขานครหลวงเวียงจันทน์อีกครั้ง มีการตกแต่งให้เข้ากับเทศกาลด้วย

 อาคารสมัยอาณานิคมที่ถูกทิ้งร้างข้างทาง ถนนสามแสนไท

 มองไปฝั่งขวาของถนนสามแสนไท ธนาคารกรุงเทพก็มาถึงกรุงเวียงจันทน์แล้วเช่นกัน

 นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกสองคนนั้นน่าจะกำลังเดินหาที่พักอยู่ เดินไวมากแปปเดียวแซงผมไปซะแล้ว

 เจอร้านซูชิอีกร้าน สะบายดีซูชิ บนถนนสามแสนไท

 ตรงหัวมุมสี่แยกไปวงเวียนน้ำพุ ฝั่งขวามือจะเป็นร้านสะดวกซื้อ M-Point Mart ร้านสะดวกซื้อที่พบเห็นได้ทั่วไปในเวียงจันทน์

 มองไปฝั่งตรงข้ามบ้าง ตึกสไตล์ลาวประยุกต์หลังเดิม

 เดินเลยแยกน้ำพุมาไม่ไกลฝั่งขวามมือจะเจอพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แต่ปัจจุบันย้ายที่ไปแล้ว

 ดอกจำปาลาว หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ(เก่า)

 มองไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นหอวัฒนธรรมแห่งชาติ

 แอบเดินเข้าไปสำรวจซอยตรงข้ามหอวัฒนธรรมแห่งชาติ เจอรถไปวังเวียงกำลังจอดเรียงกันอยู่
ไม่รู้ว่าเป็นรถแบบเดียวกับที่ขนส่งสยเหนือหรือเปล่า?

 เดินสำรวจไปจนสุดซอยเจอสนามกีฬาเจ้าอนุวงศ์

 ออกจากซอยแล้วเดินตรงต่อไปบนถนนสามแสนไท แวะถ่ายตึกข้างทางร้านกาแฟสไตล์ตะวันตก The High Tea

ถึงแล้วอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม อยู่ด้านหลังต้นหูกวาง นั่งพักเหนื่อยก่อนสักครู่

        เจ้าฟ้างุ้ม ถือได้ว่าเป็น บิดาแห่งชาติลาว เพราะเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น และเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง อีกทั้งยังมีบทบาทในการนำพุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาเผยแผ่ในลาว ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้มถูกรายล้อมไปด้วยโรงแรมทุกทิศทางถ้ามองจากมุมมองถนนสามแสนไท ฝั่งขวามือของอนุเสาวรีย์อยู่ตรงข้ามกับโรงแรม Crowne Plaza เยื้องกับโรงแรม Mercure ส่วนด้านหลังอยู่ตรงข้ามกับโรงแรม Somerset และฝั่งซ้ายมืออยู่ตรงข้ามกับโรงแรมแม่โขง

        วันนี้แม้จะยังอยู่ในช่วงเช้าแต่อากาศก็ร้อนจัด ประกอบกับแบกสัมภาระทั้งหมดไว้บนหลังทำให้เมื่อผมเดินมาถึงอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้มแล้ว จำต้องไปนั่งพักดื่มน้ำที่ม้านั่งใต้ร่มเงาต้นหูกวางสักพัก ก่อนจะเดินไปสำรวจรอบอนุเสาวรีย์ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง... 

 ด้านหลังอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม

 ด้านหน้าอนุเสาวรีย์เป็นลานกว้าง

 พระราชประวัติเจ้าฟ้างุ้ม ฉบับภาษาฝรั่งเศส

 ด้านหน้าอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม

 อนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม มุมข้าง

 เดินข้ามถนนเศรษฐาธิราชไปฝั่งโรงแรมแม่ของ(แม่โขง)

อนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม ถ่ายจากหน้าโรงแรมแม่ของ(แม่โขง) 

        เมื่อสำรวจ และถ่ายรูปพื้นที่โดยรอบอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้มจนพอใจ ประกอบกับแสงแดดที่ทวีความแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจึงคิดว่าเดินไปเที่ยวที่อื่นต่อดีกว่า โดยผมจะใช้ถนนเศรษฐาธิราชที่ขนานกับถนนสามแสนไทเป็นถนนสายหลักสำหรับวันนี้ วันนี้ผมตั้งใจว่าจะเข้าชมวัดสำคัญในเวียงจันทน์ที่ตั้งใจแน่ ๆ มี ๓ วัดคือวัดอินแปงที่หมายตาไว้ตั้งแต่วันแรก วัดองค์ตื้อ และวัดมีไซ(มีชัย) ซึ่งทั้ง ๓ วัดนี้ตั้งอยู่ใกล้กันมาก โดยวัดแรกสำหรับวันนี้คือ วัดอินแปง ซึ่งใช้เวลาเดินจากอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้มไปตามถนนเศรษฐาธิราชประมาณ ๑๐ นาที

        บรรยากาศภายในวัดอินแปงวันนี้อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยมวลมหาพุทธศาสนิกชนทุกเพศทุกวัย ที่ต่างหอบหิ้วถังน้ำมาสรงน้ำพระพุทธรูปกันถ้วนหน้า ดูท่าแล้วคนน่าจะเยอะกว่าที่วัดสีสะเกดเมื่อวานเสียอีก อาจจะเป็นเพราะช่วงเช้าอากาศยังไม่ร้อนเท่าช่วงบ่ายด้้วย เป็นที่น่าเสียดายที่เนื่องจากเป็นวันปีใหม่ลาว สิมวัดอินแปงจึงปิดไม่ให้เข้าชมภายใน พื้นที่หน้าสิมถูกพระสงฆ์จับจองที่ให้ประชาชนเข้าไปสนทนาธรรม รับศีล รับพร เนื่องในวันปีใหม่ ถึงสิมจะปิดแต่ผมก็ได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวลาวในช่วงวันปีใหม่แทน เมื่อสอดส่องจนพอใจแล้วผมจึงมุ่งหน้าสู่วัดองค์ตื้อเป็นวัดต่อไป โดยไม่ลืมไปหาซื้อถังน้ำใส่น้ำอบพร้อมกิ่งไม้ด้านข้างวัดอินแปง เตรียมไปสรงน้ำพระต่อด้วย...


 เดินตรงจากโรงแรมแม่ของ บนถนนเศรษฐาธิราช มองไปฝั่งตรงข้ามเจอโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมิตรภาพ นครหลวงเวียงจันทน์-นครโฮจิมินห์

เลยโรงเรียนมัธยมไปไม่ไกลเจอร้านอาหารญี่ปุ่น(อีกแล้ว) ร้านฟูจิวาระ ธงแดง ๆ ที่เห็นประดับคู่กับธงชาติลาว คือธงพรรคคอมมิวนิสต์ลาว

 เลยร้านอาหารญี่ปุ่นไปไม่ไกลจะเจอสี่แยกจุดตัดระหว่างถนนเศรษฐาธิราช กับถนนขุนบรม เดินเลี้ยวซ้ายแล้วข้ามถนนไปก็ถึงวัดอินแปงแล้ว

 ข้ามถนนตรงสี่แยกมามีป้ายบอกทางไปวัดชัดเจน

 เข้ามาในเขตวัดอินแปงแล้ว

สิมวัดอินแปง ได้รับการบูรณะใหม่โดยฐานของสิมตั้งอยู่บนฐานบัว มีการซ้อนชั้นหลังคา หน้าบันประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ซึ่งเป็นอิทธิพลจากศิลปะรัตนโกสินทร์ แต่ยังคงความเป็นศิลปะล้านช้างคือมีโก่งคิ้วตรงมุข และบนสันหลังคาประดับสัตตะบูริพัน หรือช่อฟ้า 

 พุทธศาสนิกชนแต่งกายสดใสพร้อมใจกันมาสรงน้ำพระพุทธรูป

 ไม่เพียงแต่พระพุทธรูปเท่านั้นแต่รูปปั้นสิงห์ ก็ได้รับการพรมน้ำเช่นกัน

 ชาวลาวทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ต่างเข้าวัดกันมาสรงน้ำพระ

 วันนี้บรรยากาศดูจะคึกคักกว่าเมื่อวานเสียอีก หรือเพราะเป็นช่วงเช้า

 ด้านบนบานประตู หน้าต่างของสิมวัดอินแปงเป็นยอดปราสาทสูง วันนี้สิมปิดทำให้ไม่ได้เข้าไปด้านใน
ด้านหน้าประตูสิมมีพระมาคอยพรมน้ำมนต์ ผูกสายสิญจน์ให้ประชาชนเสริมสิริมงคลเนื่องในวันปีใหม่

ในบริเวณวัดจะมีรางน้ำรูปพญานาคโดยศาสนิกชนจะพรม หรือเทน้ำลงไปในรางน้ำ แล้วน้ำที่ไหลออกมาจากรููที่เจาะไว้ที่รางน้ำจะมีศาสนิกชนเอาขัน หรือภาชนะมารองรับ น่าจะเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ 

 รูปปั้นสิงห์ และสิตธัตถะกุมารที่โดนพรมน้ำจนเปียกชุ่ม

ศาสนิกชนต่างหอบหิ้วถังน้ำใส่น้ำอบมาพรมน้ำพระ เมื่อเสร็จจากวัดหนึ่งก็ไปทำแบบเดิมต่อในอีกวัดหนึ่งเป็นเรื่องปกติ

        ถังหูหิ้วใส่น้ำอบที่ซื้อมาค่อนข้างใหญ่มาก เลยคิดว่าถ้าเวลาเหลืออาจจะไปวัดเชียงยืนเพิ่มอีกเป็น ๔ วัดจะได้ใช้ถังที่ซื้อมาได้อย่างคุ้มค่า การเดินทางจากวัดอินแปงไปวัดองค์ตื้อนั้นไม่ยาก เพียงเดินออกไปหน้าประตูวัดแล้วเดินตรงบนถนนเศรษฐาธิราชไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๑๐๐ เมตร ก็จะเจอวัดองค์ตื้ออยู่ทางขวามือแล้ว สภาพการจราจรบนถนนเศรษฐาธิราชเวลานี้จอแจมากเพราะเต็มไปด้วยรถของศาสนิกชนทั้งหลายที่ตั้งใจมาสรงน้ำพระเนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ บนทางเท้าเองก็เช่นกันทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันทั้งสิ้น

        เมื่อเดินเข้าไปภายในวัดองค์ตื้อก็เป็นดังที่คาดไว้คือคนแน่น แต่ไม่ว่าอย่างไรเวียงจันทน์ก็ยังคงเสน่ห์ในแบบของเวียงจันทน์คือไม่ว่าคนจะเยอะแค่ไหนแต่บรรยากาศโดยรอบกลับไม่ทำให้จิตวุ่นวาย ทุกอย่างดำเนินไปเรื่อย ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติ เป็นความสงบที่บรรยายไม่ถูก...

         วัดองค์ตื้อเป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ภายในสิมประดิษฐานพระเจ้าองค์ตื้อ ซึ่งมีความหมายว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หล่อด้วยสำริด มีลักษณะเด่นคือพระพักตร์ใหญ่ พระเนตรหรี่ลงต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์กว้าง พระหัตถ์ค่อนข้างใหญ่ พระวรกายสูง เป็นศิลปะพระพุทธรูปแบบล้านช้าง ในวันนี้สิมวัดองค์ตื้อเปิดแต่เนื่องจากมีศาสนิกชนไม่ขาดสาย ประกอบกับใส่รองเท้าผ้าใบ และแบกสัมภาระหนัก ทำให้ตัดสินใจไม่เข้าไป ไว้โอกาสหน้าจะมาแก้ตัวใหม่...


 ศาสนิกชนทั้งหลายที่สรงน้ำวัดอินแปงเสร็จแล้ว คงเดินไปวัดองค์ตื้อต่อเหมือนผมแน่ ๆ

 เดินตรงมา ๑๐๐ เมตรข้ามทางม้าลายมาปุ๊บก็ถึงแล้ว ถ่ายจากฝั่งวัดองค์ตื้อหันไปทางวัดอินแปง

 ซุ้มประตูทางเข้าวัดองค์ตื้อมหาวิหาร

 พุทธศาสนิกชนกำลังพรมน้ำพระ วัดองค์ตื้อ

 ที่วัดองค์ตื้อก็มีรางน้ำรูปพญานาคเหมือนกันจะเห็นว่าเทน้ำเข้าไปจากส่วนหาง

 แล้วน้ำจะไหลออกมาทางส่วนหัว โดยมีประชาชนนำภาชนะใส่ไปดื่ม หรือบูชา บางคนก็เอาน้ำมาลูบหัวเสริมมงคล

 สิมวัดองค์ตื้อที่ได้รับการบูรณะใหม่ตั้งอยู่บนฐานบัว มีเสาพาไลกลมขนาดใหญ่ ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นทรงปราสาทยอด หน้าบันประดับด้วยลายก้านขด และดอกกาละกับ มีการแบ่งกรอบหน้าบันเป็นเอกลักษณ์ของช่างเวียงจันทน์ ด้านล่างเป็นโก่งคิ้วแบบล้านช้าง ป้านลมอ่อนโค้งแผ่กว้าง มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์คาดว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปะรัตนโกสินทร์

มีทำบุญพระประจำวันเกิดด้วย


        เดินสังเกตความเป็นไปรอบตัว และเนียนกับผู้คนไปสรงน้ำพระตามประเพณีลาวบ้างพอให้ซึมซับก็ได้เวลาไปวัดต่อไปคือ วัดมีไซ(วัดมีชัย) การเดินทางก็ยังคงง่ายเช่นเดิมครับ คือออกจากวัดองค์ตื้อแล้วเดินตรงไปบนถนนเศรษฐาธิราชไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๑๐๐ เมตรก็จะเจอวัดมีไซ(วัดมีชัย) ครับ มีป้ายบอกตลอดทางไม่ต้องห่วง เคยอ่านเจอว่าเมื่อก่อนทั้ง ๓ วัดนี้รวมวัดหายโศกซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามวัดมีไซเคยอยู่ติดกันมาก่อน แต่พอมีการวางผังเมืองและมีคนมาอยู่อาศัยมากขึ้นทำให้ถูกแยกจากกันและเหลืออาณาบริเวณวัดไม่มากนัก

         วัดมีไซ หรือวัดมีชัย สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชในปีพ.ศ. ๒๑๑๒ หลังล้านช้างมีชัยชนะเหนือพม่า

         ภายในวัดมีไซ พุทธศาสนิกชนบางตากว่าที่วัดอินแปง และวัดองค์ตื้อมาก อาจเพราะมีบริเวณให้สรงน้ำพระจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณด้านหน้าสิมเท่านั้น ซึ่งบริเวณด้านหน้าสิมนี้มีทั้งบริเวณที่ให้พระมาสนทนาธรรมกับชาวบ้าน พื้นที่ทำบุญสนับสนุนวัดซึึ่งสามารถทำบุญเป็นเงินบาทไทยได้  รวมไปถึงพื้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนมาสรงน้ำ...


วัดอินแปง วัดองค์ตื้อ และวัดมีไซ ทั้ง ๓ วัดตั้งเรียงกันบนถนนเศรษฐาธิราช เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ติดกันเลย

 เดินตรงมาเรื่อย ๆ มีป้ายบอกทางตลอดไม่หลงแน่นอน

 ข้ามทางม้าลายไปก็ถึงแล้ว วัดมีไซ

 สิมวัดมีไซ กับดอกจำปาลาว

 ซุ้มประตูทางเข้าวัดมีไซ

 เดินเข้ามาภายในวัดมีไซแล้ว ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมือน ๒ วัดที่แล้ว

 มองไปทางฝั่งกุฏิพระ

 หันไปถ่ายทางซุ้มประตูทางเข้าวัดบ้าง

 สิมวัดมีไซ มีเสาพาไลล้อมรอบคล้ายสิมวัดสีสะเกด แต่วัดมีไซตัวสิมจะเตี้ยกว่า

 บานหน้าต่างประดับซุ้มทรงยอดปราสาท

 พญานาคทั้ง ๒ ก็ถูกสรงน้ำด้วย

 ผู้คนมากองกันด้านหน้าสิม เพราะเป็นจุดเดียวที่มีพระพุทธรูปให้สรงน้ำ

 มองไปทางประตูทางเข้าอีกฝั่ง อาคารฝั่งซ้ายหน้าจะเป็นหอธรรม

มีร้านขายของประปราย ไม่คึกคักเท่า ๒ วัดแรก

        ผมใช้เวลาที่วัดมีไซ ไม่นานนักเพราะมีเวลามีจำกัดจึงเดินออกไปทะลุประตูอีกฝั่งแล้วเดินตามป้ายบอกทางเลี้ยวขวาเข้าถนนเล็ก ๆ ไปทางริมแม่น้ำโขงเพื่อไปวัดสุดท้ายของทริปนี้ วัดเชียงยืนทะนาราม เมื่อเดินเข้าในบริเวณวัดเชียงยืนจะพบบรรยากาศที่เหมือนกับทุกวัดในเวียงจันทน์ช่วงสงกรานต์คือ มีพุทธศาสนิกชนทั้งเด็ก ไปจนถึงวัยชรามาสรงน้ำพระ และไปสนทนาธรรมกับพระสงฆ์ รับวัตถุมงคล และทำบุญเพื่อเสริมมงคลในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ สิมวัดเชียงยืนตกแต่งเรียบง่ายไม่มีลวดลาย หรือสีสันมากเท่าสิมทั้ง ๓​ วัดก่อน แต่ตรงหน้าต่างแต่ละบานของสิมวัดเชียงยืนแห่งนี้มีประติมากรรมแกะสลักเล่าเรื่องชาดกที่อ่อนช้อยงดงามเป็นเอกลักษณ์...


 ระหว่างทางเดินผ่านโรงแรมที่ตกแต่งสวยแปลกตาดี

 ถนนเล็ก ๆ ที่เดินเข้ามาใกล้ถึงสามแยกแล้ว จะสังเกตเห็นศาลเจ้าด้านหน้า

 เดินมาเจอศาลเจ้าแล้วให้เดินเลี้ยวซ้ายไป ๕๐ เมตรก็จะถึงวัดเชียงยืนแล้ว

 ถึงแล้ววัดเชียงยืน หันหน้าเข้าแม่น้ำโขงพอดีเป๊ะ

 สิมวัดเชียงยืน โดดเด่นตรงโหง่ที่อ่อนช้อยแบบล้านช้าง และสัตตะบูริพัน บนสันหลังคาที่จำลองเขาพระสุเมรุ และเขาบริวารทั้งเจ็ด

 พุทธศาสนิกชนที่นี่มีไม่มาก แต่มากันเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย

 ชาวลาวทุกเพศ ทุกวัย ต่างมาสรงน้ำพระเสริมมงคลรับปีใหม่

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบ

 หน้าบันของสิมวัดเชียงยืนสลักรูปพุทธประวัติ

เดินไปทางหน้าสิมมีพระพุทธรูปปางนาคปรก และศาสนิกชนที่กำลังพรมน้ำอยู่

มองเข้าไปในสิมที่วันนี้ปิด แต่ที่หน้าสิมมีพระสงฆ์มาสนทนาธรรมกับชาวบ้าน

 หอระฆังวัดเชียงยืน

 ซุ้มหน้าต่างทรงยอดปราสาทของสิมวัดเชียงยืน แต่ละบานมีประติมากรรมทางพุทธศาสนาอยู่ด้วย

ได้เวลาออกจากวัดเชียงยืน ไปขึ้นรถกลับไทย



วัดเชียงยืนแบบ Time-Lapse


        เดินออกจากวัดเชียงยืนตรงไปประตูด้านหลังวัดด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ เพราะได้เนียนไปมีส่วนร่วมในประเพณีปีใหม่กับชาวลาว ทำให้ได้สัมผัสกับวิถีชีวิต และความเชื่อของคนพื้นที่มากขึ้น ได้เห็นหลายสิ่งที่ไม่เคยเห็นด้วยตามาก่อน ระหว่างทางได้เจอนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกทักทายผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรว่า "สะบายดีปีใหม่" เป็นภาพที่นึกถึงที่ไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง ขณะที่กำลังเดินด้วยความสดชื่นนั้นเผลอไปเดียวก็มาโผล่ตรงหน้าร้านอาหารขอบใจเด้อบนถนนเศรษฐาธิราชอีกครั้ง วันนี้บรรยากาศกลับมาสงบอีกครั้งเพราะไม่มีการเล่นน้ำสงกรานต์ สงสัยในเวียงจันทน์จะเล่นน้ำกันมากที่สุดในวันที่ ๑๔ เมษายนล่ะมั้ง 

        ด้วยความคิดถึงวันแรกที่มาถึงเวียงจันทน์ จึงเดินเข้าไประลึกอดีตที่ย่านน้ำพุแม้จะเป็นย่านที่มาบ่อยที่สุดในเวียงจันทน์แต่ก็ยังมีอะไรหลายอย่างที่เพิ่งมาสังเกตเห็นได้ในสถานที่เดิม ๆ แห่งนี้คือ มีการจัดแสดงภาพย่านน้ำพุในอดีตด้วย ดูจากสิ่งก่อสร้างในภาพแล้ววงเวียนน้ำพุน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงสมัยอาณานิคม เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้วถือว่าเปลี่ยนแปลงไปมากเลยทีเดียว ทำให้คิดไปถึงว่าถ้าได้มาเวียงจันทน์อีกครั้ง "เวียงจันทน์จะยังคงเป็นเวียงจันทน์แบบที่ผมรู้จักในตอนนี้หรือเปล่า? " ปล่อยให้ความคิดดำเนินไปอย่างนั้นแต่สองเท้าก็ยังก้าวต่อไปจนไปหยุดหน้าโรงแรมมะลิน้ำพุ ที่พักที่สร้างความประทับใจในทริปนี้มาตลอด ๑ คืนแรก แล้วจึงเดินไปตามถนนสามแสนไทก่อนที่จะไปโผล่หน้าศูนย์การค้าตลาดเช้ามอลล์

        ศูนย์การค้าตลาดเช้ามอลล์เป็นศูนย์การค้าแห่งแรกในเวียงจันทน์ที่มีบันไดเลื่อน ภายในศูนย์การค้าปัจจุบันมีทั้งร้านจากต่างชาติที่มาเปิดสาขาเช่น Miniso รวมไปถึงร้านของลาวเอง สินค้าค่อนข้างหลากหลายกว่าที่ศูนย์การค้าเวียงจันทน์เซ็นเตอร์เพราะมีทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า ธนาคาร โทรศัพท์มือถือ และร้านอาหาร แต่วันนี้บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงาร้านส่วนใหญ่ปิดเพราะเป็นวันหยุดสงกรานต์(ปีใหม่) ของที่ลาว ผมใช้เวลาเดินที่นี่ไม่นานนักนาฬิกาบอกเวลาว่าเกือบ ๑๑ โมงแล้ว จะไปหาข้าวจี่ปาเตทานตามที่หมายใจไว้ก็คงไม่ทัน เพราะรถทัวร์ออกเวลา ๑๑ โมงครึ่ง ทำให้ผมต้องรีบเดินทะลุไปออกประตูหลังศูนย์การค้า แล้วเดินข้ามถนนไปนั่งรอรถทัวร์ซึ่งตอนนี้จอดเทียบท่าแล้ว...

 ร้านอาหารขอบใจเด้อวันนี้ไม่มีการเล่นน้ำสงกรานต์แล้วแฮะ

 จากร้านขอบใจเด้อเดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปย่านน้ำพุอีกครั้ง แม้จะมาที่นี่เป็นครั้งสามได้แล้วแต่ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีการแสดงภาพของย่านน้ำพุในอดีตด้วย แสดงว่ามีความเป็นมายาวนานพอสมควร

 เดินเข้ามาทักทายโรงแรมมะลิน้ำพุอีกครั้ง ก่อนกลับไทย

 เดินมาโผล่หน้าศูนย์การค้าตลาดเช้าอีกครั้ง ก่อนกลับไทยแวะเข้าไปสำรวจภายในเสียหน่อย

 พูดถึงสงกรานต์ก็ต้องเสื้อลายดอกสินะ ภายในศูนย์การค้าตลาดเช้าส่วนใหญ่เป็นร้านขายเสื้อผ้า

เดินทะลุออกประตูไปด้านหลังศูนย์การค้า จะเจอย่านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแหล่งใหญ่

        รอบนี้ได้โดยสารไปกับรถทัวร์ของไทย เป็นรถของบขส.ที่สภาพใหม่เลยทีเดียว ในตั๋วมีเลขที่นั่งอยู่ให้นั่งตามเลขที่นั่งบนตั๋วนะครับ รอบนี้โชคดีได้นั่งริมหน้าต่างเหมือนขาไปเลย: ) ตอนแรกสภาพโล่งมากมีเพียงผม กับพนักงานบนรถ แต่พอก่อนเวลารถออก ๕ นาทีผู้โดยสารก็แห่กันมาเกือบเต็มคันรถ ผู้โดยสารมีทั้งชาวไทย ชาวลาว และนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนไทย และคนลาว ก่อนที่รถจะออกพนักงานบนรถจะคอยมาถามว่ามีใครยังไม่ได้ใบขาออกจากลาวบ้าง สำหรับใครที่ขาไปโดยสารมากับรถของบขส.มาเวียงจันทน์ทั้งจากขอนแก่น อุดร หรือหนองคาย ตอนขาไปพนักงานจะแจกทั้งใบขาเข้า และขาออกประเทศลาว ถ้าใครยังเก็บเอาไว้ก็ไม่ต้องขอใหม่ครับ 

       เวลา ๑๑ โมงครึ่ง รถทัวร์คันใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งตลาดเช้า มุ่งไปทางสวนสาธารณะเจ้าอนุวงศ์แล้วขับเลียบแม่น้ำโขงไปเรื่อย ๆ  ทิวทัศน์ของนครหลวงเวียงจันทน์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นท้องทุ่ง สองข้างทางเต็มไปด้วยวัดวาอารามมองเข้าไปภายในวัดประชาชนยังคงมาสรงน้ำพระกันอยู่ ในหน้าบ้านส่วนใหญ่จะมีสระน้ำเป่าลมให้เด็ก ๆ เล่นคลายร้อน ทิวทัศน์อาจจะไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือน่าตื่นเต้นอะไรแต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความเป็นวิถีชีวิตของชาวลาวที่ดำเนินไปอย่างสงบ ระหว่างที่พยายามคิดหาคำอธิบายอยู่นั้นรถก็มาหยุดอยู่หน้าด่านตม.ลาวแล้ว วันนี้เป็นวันอาทิตย์สภาพตม.จึงค่อนข้างวุ่นวาย ต้องต่อแถวยาวเหยียดยื่นใบขาออกเพื่อมปั้มพาสปอร์ต และยังต้องซื้อบัตรผ่านแดนลาวอีกซึ่งในวันอาทิตย์เช่นนี้ราคาเพิ่มขึ้นมาถึง ๑๐ เท่าตัวคือจาก ๕ บาทเป็น ๕๐ บาทเพราะเป็นนอกเวลาราชการ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จในเวลาอันสั้น ผมจึงเดินข้ามไปอีกฝั่งถนนเพื่อไปร้านแลกเงินร้านเดิมกับตอนขาไป แต่ร้านปิดเลยจำต้องไปแลกเงินบาทที่ธนาคารแทน ซึ่งแถวยาวมาก แถมยังต้องกรอกใบขอแลกเงินอีกซึ่งเหลือเงินกีบถึง  ๔๑๓,๐๐๐ กีบ แต่เลือกเก็บไว้เป็นที่ระลึกบางส่วนจึงแลกคืนไป ๓๐๒,๐๐๐ กีบ ได้เงินไทยมา ๑,๑๐๐ บาท (ตอนนั้นเรทดีมาก) เท่ากับว่าใช้เงินที่ลาวไปแค่ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ กีบเท่านั้น ประหยัดกว่าที่คิดมาก แต่เพราะแถวแลกเงินที่ยาวมาก และการดำเนินการของธนาคารที่ค่อนข้างช้าทำให้ผมไปขึ้นรถทัวร์เป็นคนสุดท้าย T_T (ทางที่ดีไปแลกเงินในเวียงจันทน์ก่อนกลับเลยก็ดี เรทไม่ต่างกันมาก) 

      เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถมาครบแล้ว รถทัวร์ก็เคลื่อนตัวออกเดินทางต่อไป ใช้เวลาประมาณ ๒ นาทีจากตม.ลาว ก็มาถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นโหวงแปลก ๆ ในหัวพูดคำว่า "หมดเวลาสนุกแล้วสิ" วนไปวนมาหลายรอบ ทันทีที่รถข้ามามาถึงกึ่งกลางสะพานจากธงชาติลาว เริ่มเปลี่ยนเป็นธงชาติไทยนี่เราได้กลับบ้านแล้วสินะ เกิดความรู้สบายใจขึ้นมาแทนที่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมหันกลับไปมองฝั่งลาวและพูดว่า "แล้วเจอกันใหม่" ในใจ นั่งชื่นชมในความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำโขงได้ไม่นานรถก็มาหยุดกึกที่ด่านตม.ไทย ที่ด่านตม.ไทยคนก็เยอะเช่นกันแต่สำหรับผู้ถือพาสปอร์ตไทยจะสะดวกมากตรงที่มีช่องแสกนทำให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาอันสั้น และผมเป็นคนแรก ๆ ที่ขึ้นมานั่งรอบนรถ (รู้สึกเหมือนไถ่บาปได้ ๕๕๕) นั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็ออกจากด่านตม. ผ่านเมืองหนองคายไปตามถนนหมายเลข ๒ ถนนมิตรภาพมุ่งหน้าสู่เมืองอุดรธานี ซึ่งหากกันแค่ ๕๐ กิโลเมตร ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นท้องทุ่งนาที่คุ้นเคย ป้ายต่าง ๆ เป็นภาษาไทย ให้ความรู้กลับสู่ Comfort Zone แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นในใจไปด้วยตรงที่พอรถจอดแล้วจะไปเที่ยวไหนดี เพราะไม่เคยมาในตัวเมืองอุดรธานีมาก่อน จนเวลาประมาณบ่ายสองโมงทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีห้างร้านอาคารหนาแน่น เป็นสัญญาณบอกว่าขณะนี้ได้มาถึงหัวเมืองใหญ่ทางภาคอีสานตอนบนแล้วคือ "เมืองอุดรธานี"

 รถโดยสารระหว่างประเทศของไทย ที่จะพาทุกคนไปอุดร

 ที่นั่งนุ่ม และกว้างขวางใช้ได้อยู่

 มีจอบอกด้วยว่าอนนี้รถวิ่งด้วยความเร็วเท่าใด

 สภาพที่นั่ง ยังไม่มีผู้โดยสารขึ้นมาสักคน T_T

 นั่งรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงตม.ลาวแล้ว

 ขณะที่กำลังข้ามสะพานมิตรภาพฯ บ้ายบายเมืองลาว ไว้จะกลับมาใหม่เด้อ ภาพนี้ถ่ายติดทั้ง ๒ ประเทศเลย ฝั่งซ้ายเป็นประเทศลาว ฝั่งขวาเป็นประเทศไทย มีแน่น้ำโขงกั้นกลางเป็นพรมแดนธรรมชาติอยู่

 ถึงตม.ฝั่งไทย ถ้าถือพาสปอร์ตไทยแสกนแปปเดียวก็ผ่านออกมาได้แล้ว รวดเร็วมาก พาสปอร์ตไม่โล่งแล้วนะ :)

จากสะพานมิตรภาพที่หนองคายใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง รถก็มาจอดที่สถานีขนส่งอุดรธานีแล้ว

        รถทัวร์จอดให้ผู้โดยสารลงที่สถานีขนส่งผู้โดยสารอุดรธานี แห่งที่ ๑ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง บรรยากาศสถานีขนส่งคึกคักมากคงเพราะเป็นวันที่คนส่วนใหญ่เริ่มเดินทางกลับจากภูมิลำเนา เข้ากรุงเทพฯ กันแล้ว ในวันนี้ผมมีแผนเที่ยวเมืองอุดรธานีไว้ในหัวคือจะไปทานอาหารกลางวันที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า อุดรธานี ไปสวนสาธารณะหนองประจักษ์ ไหว้ศาลหลักเมือง และไปซื้อของฝากที่ร้านวีทีแหนมเนือง ก่อนจะไปรอรถไฟที่สถานีรถไฟอุดรธานี จากสถานีขนส่งเดินไปประมาณ ๑๐๐ เมตรก็ถึงเซ็นทรัลแล้ว 

        ศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่นี่กว้างใหญ่มาก ร้านค้าก็มากมาย  จึงอยากลองเดินสำรวจก่อนจะหาอะไรกิน แต่สุดท้ายก็มาจบที่ร้านแมคโดนัลด์ ระหว่างนั่งทานอาหารจึงโทรไปรายงานที่บ้านว่าตอนนี้อยู่อุดรฯ แล้ว เป็นที่น่าผิดหวังที่ข้าวกระเพราสาขานี้ทำแฉะมากจนรู้สึกเหมือนกินข้าวต้ม แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้อิ่มท้องได้ พอทานอาหารจนอิ่มรู้สึกมีพลังพร้อมไปเที่ยวต่อแล้วจึงมุ่งหน้าออกจากเซ็นทรัลไปสวนสาธารณะหนองประจักษ์ก่อนที่ฟ้าจะมืดไปกว่านี้ และฝนอาจจะตกได้...

 บรยากาศสถานีขนส่งอุดรธานี แห่งที่ ๑

 เดินออกมาด้านหน้าสถานีขนส่ง แล้วเลี้ยวขวา

 เดินไปแปปเดียวก็เห็นเซ็นทรัลอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว ท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัว

 เดินเข้าไปในเซ็นทรัลร้านค้าเยอะไม่แพ้ในกรุงเทพเลย After You ก็กำลังจะมาเปิด

 ไม่รู้จะกินอะไรดี จริง ๆ อยากกินอาหารอีสานมาก แต่สุดท้ายมากินข้าวผัดกระเพรา แมคโดนัลด์ (ข้าวแฉะมาก T____T)

ฝืนกินข้าวแฉะ ๆ ไปจนหมดจาน ยังดีที่อิ่มท้อง แล้วได้เวลาเดินทางสู่สวนสาธารณะหนองประจักษ์

         ด้วยความที่นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาเยือนเมืองอุดรธานี ทำให้ต้องพึ่งพา Google Maps ในการเดินทาง เพราะตั้งใจจะเดินเท้าสำรวจเมือง จากเซ็นทรัลไปหนองประจักษ์ห่างกันประมาณ ๓ กิโลเมตร ใช้เส้นทางถนนวัฒนานุวงศ์ตรงไปตลอดทางเลยครับ บ้านเมืองในอุดรธานีส่วนมากเป็นอาคารพาณิชย์ไม่ค่อยสูงมากตั้งกันหนาแน่นเพราะว่าตัวเมืองอยู่ใกล้กับสนามบินจึงสร้างอาคารสูงมากไม่ได้ ในปัจจุบันแม้อุดรธานีจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในฐานะเมืองธุรกิจ และการค้า เพราะมีชาวลาวหลั่งไหลไปจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการลงทุนสูง คอนโด ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย แต่ในขณะเดียวกันวิถีชีวิตของคนที่นี่ก็ยังคงรักษารากเดิมไว้ได้ ยังคงมีร้านอาหารอีสาน ผู้คนยังคงสื่อสารกันด้วยภาษาถิ่น 

        จากท้องฟ้าที่ขมุกขมัวตอนนี้แดดเริ่มออกมาทักทาย สองข้างถนนที่นี่ยังคงคึกคักไปด้วยผู้คนที่เล่นน้ำสงกรานต์ ที่นี่เล่นสงกรานต์โหดกว่าที่ลาวมาก ทั้งเปิดเพลงบนรถเต้นท่าหวาดเสียว ดื่มสุราแล้วลงไปเต้นบนถนนระหว่างจอดติดไฟแดง หรือขนถังน้ำแข็งมาเล่นก็มี แต่ในขณะเดียวกันเด็ก ๆ ที่นี่ยังคงเล่นสงกรานต์กันน่ารัก น่าเอ็นดู บางบ้านก็มานอนเล่นที่สระว่ายน้ำเป่าลมหน้าบ้าน บ้างก็ถือปืนฉีดน้ำเล็ก ๆ คอยฉีดคนที่เดินผ่านไปมา หลายคนจึงพยายามเลี่ยงที่จะเดินผ่าน เด็ก ๆ เริ่มทำหน้าหงอยผมจึงยอมโดนฉีดแต่บอกน้อง ๆ ว่า "ฉีดค่อย ๆ เด้อ" เด็ก ๆ พวกนี้ทำให้นึกย้อนไปตอนที่ตัวผมเฝ้ารอวันที่ ๑๓ เมษายน ยกถังน้ำออกไปตรงถนนหน้าบ้านแล้วเติมใส่ปืนฉีดน้ำฉีดผู้คนที่ผ่านไปมา นึกแล้วก็อดคิดถึงความร่าเริงของตัวเองในตอนนั้นไม่ได้ :D 

          แสงแดดที่ร้อนแรงทำให้เสื้อของผมกลับมาอยู่ในสภาพปกติอย่างรวดเร็ว ที่เมืองอุดรธานีมีร้านอาหารเวียดนามค่อนข้างมาก ทั้งเฝอ และแหนมเนือง เช่นเดียวกับเมืองหนองคาย และเวียงจันทน์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีชาวเวียดนามอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากในช่วงสงครามเวียดนาม เดินไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นก็พบป้ายแยกไปศาลหลักเมืองจึงตัดสินใจไปไหว้ศาลหลักเมืองก่อน แล้วจึงไปหนองประจักษ์ เพราะจากหนองประจักษ์ไปสถานีรถไฟนั้นใช้คนละเส้นทางกัน...


จากเซ็นทรัลไปหนองประจักษ์ค่อนข้างไกลเหมือนกัน แต่ก็ยังคงยืนกรานว่าจะเดินนะครับ ๕๕๕

 เดินออกมาจากเซ็นทรัล อ้ะ แดดออกแล้ว เมื่อกี้ฟ้ายังมืดอยู่เลย

 ที่อุดรฯ ยังคงเล่นสงกรานต์กันอย่างครื้นเครง

พื้นถนนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ

 เจอป้ายบอกทางแล้ว ไม่หลงแน่

 รถคันนี้มาเป็นถังน้ำแข็งเลย การเล่นน้ำที่นี่โหดใช่เล่น

 เดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางแดดมองไปฝั่งตรงข้ามเจอร้าน ปิ้งไก่น้อย (ไก่ปิ้งไม้จิ๋ว)

 คอนโดสูงทันสมัยกลางเมืองอุดรฯ

 หันไปมองด้านข้างคอนโดมีร้านอาหารอีสานอยู่ข้าง ๆ

 ตึกแถวตึกนี้สีสันประตูสดใสดี

 หันไปมองอีกฝั่งถนน ดอกคูนเป็นสัญลักษณ์ของเดือนเมษายนสินะ กำลังบานเต็มที่เลย

 ป้ายถนนเป็นสัญลักษณ์ไหบ้านเชียงแฮะ เดินเลี้ยวซ้ายจะไปถนนอุดรดุษฎีจะไปโผล่ศาลหลักเมือง เลยเลือกไปศาลหลักเมืองก่อน

 เข้ามาถนนอุดรดุษฎีแล้วเดินข้ามฝั่ง เลี้ยวขวาเข้าถนนเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าถนนอธิปบดี

 คลองที่นี่เหมือนในกรุงเทพฯ เลยแฮะ

 ฝั่งซ้ายมือเป็นที่ทำการ เทศบาลนครอุดรธานี

 มองไปฝั่งตรงข้ามเป็นศาลจังหวัดอุดรธานี ให้เดินตรงไปเรื่อย ๆ ข้ามถนนตรงสี่แยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายประมาณ ๕๐ ก้าวก็จะถึงศาลหลักเมืองแล้ว

ถึงแล้วศาลหลักเมืองอุดรธานี

        ศาลหลักเมืองอุดรธานี ในวันนี้มีชาวเมืองอุดรธานีมาสักการะ และสรงน้ำพระกันมากมาย เพราะนอกจากศาลหลักเมืองแล้ว พื้นที่โดยรอบยังมีท้าวเวสสุวัณ และหลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทองให้บูชาเสริมสิริมงคลอีกด้วย หลังจากไหว้ศาลหลักเมืองเป็นสิริมงคลก่อนกลับบ้านแล้ว "ก็ไม่ลืมอธิษฐานว่าถ้าได้มาเมืองอุดรฯ จะกลับมาไหว้อีก" ก็เดินตรงไปบนถนนอธิบดีเพื่อไปสวนสาธารณะหนองประจักษ์ จากศาลหลักเมืองเดินตรงไปประมาณ ๕๐๐ เมตรก็ถึงแล้ว บริเวณถนนหน้าสวนสาธารณะหนองประจักษ์มีการเล่นน้ำสงกรานต์คึกคักมากจนถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ...

 ศาลหลักเมืองอุดรธานี สร้างขึ้นในปีพ.ศ.๒๕๐๒ โดยใช้ศิลปะแบบอีสาน(ล้านช้าง) ผสมกับไทยประยุกต์ จะสังเกตเห็นว่าหลังคามีความโค้ง และมีโก่งคิ้วซึ่งเป็นศิลปะอีสาน(ล้านช้าง)

 ภายในศาลหลักเมืองห้ามสรงน้ำ

 สีหน้าของชาวเมืองอุดรฯ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้มาสักการะศาลหลักเมือง

 ด้านข้างศาลหลักเมืองมีท้าวเวสสุวัณ

 ตอนเช้าสรงน้ำพระแบบลาวไปแล้ว ตอนบ่ายมาสรงน้ำพระแบบบ้านเรากันบ้าง

 ไหว้ศาลหลักเมืองก่อนกลับบ้านแล้ว จึงเดินมุ่งหน้าสู่หนองประจักษ์บนถนนอธิปบดี มีทางจักรยานเล็ก ๆ ด้วย

 เดินตรงไปบนถนนอธิปบดีผ่านสวนศรีเมือง

 เยื้องกับสวนศรีเมือง เป็นศาลเจ้าเมืองอุดรธานี

มีรถรางชมเมืองบริการฟรีด้วย แต่วันนี้ยังไม่เจอสักคัน

 เดินตรงไปบนถนนอธิปบดีประมาณ ๕๐๐ เมตรจากศาลหลักเมืองก็ถึงแล้ว หนองประจักษ์
ซึ่งตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ จากคนที่เล่นน้ำสงกรานต์

หนองประจักษ์ ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี

        หนองประจักษ์เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี ที่มีชื่อว่าหนองประจักษ์เพราะตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งเมืองอุดรธานีคือพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ต่อมาได้รับการพัฒนาเป็นสวนสาธารณะ แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองอุดรธานี ปัจจุบันที่หนองประจักษ์แห่งนี้มีตุ๊กตาเป็ดน้อยสีเหลืองลอยน้ำเป็นจุดเด่น ที่ใครต่อใครที่ได้มาหนองประจักษ์ต่างต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น

          ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์แห่งนี้มีการตกแต่งที่ดูดี สะอาด สะอ้านน่าเดินมาก แต่เสียตรงนกพิราบเยอะไปหน่อย ถ่ายรูปที่นี่จนเพลิดเพลิน ท้องฟ้าก็กลับมาครึ้มอีกครั้ง หนนี้ดูท่าจะตกจริงผมเลยรีบเดินข้ามสะพานแขวนไปฝั่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เพื่อไปซื้อของฝากที่ร้านวีทีแหนมเนือง...

 เป็ดน้อยวันนี้ท่าจะเมื่อย นอนอยู่กลางน้ำเลย ๕๕๕

 มองไปอีกด้านมีไหบ้านเชียงยักษ์ด้วย

 มองไปด้านหน้าสวนสาธารณะหนองประจักษ์ บรรยากาศการเล่นน้ำคึกคักมาก ร้านค้าก็มากมายเช่นกัน

 แผนผังสวนสาธารณะหนองประจักษ์ กว้างขวางใช่เล่นเลย

 ไหบ้านเชียง มรดกโลกถูกขุดค้นที่บ้านเชียง อ.หนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นตัวบ่งบอกว่าพื้นที่แห่งนี้มีอารยธรรมมายาวนานกว่าพันปีมาแล้ว

 เดินข้ามสะพานไปบนเกาะบ้าง

 เจ้าเป็ดน้อยยังคงนอนกลางวันอยู่

 บรรยากาศร่มรื่นดีแท้ คลายความร้อนจากแดดได้โข

 นกพิราบบินมาได้จังหวะพอดี

 ภายในสวนมีการตกแต่งด้วยสีสันสดใส

 เดินมาตรงดงต้นปาล์มบ้าง ตรงนี้เงียบดี

 มีสะพานแขวนด้วย เมฆฝนคืบคลานมาอีกแล้ว

 รีบเดินข้ามสะพานไปฝั่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีดีกว่า ฝนท่าจะตกในไม่ช้่า

 มืดขึ้นเรื่อย ๆ

มองไปอีกฝั่งยังสว่างอยู่

        จากประตูใหญ่หน้าสวนสาธารณะหนองประจักษ์ ฝั่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีให้เดินข้ามถนนไปฝั่งโรงพยาบาลแล้วเดินเลี้ยวขวาเลียบโรงพยาบาลไปตามถนนเทพารักษ์ ประมาณ ๗๐๐ เมตรจะเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้ายเดินเลียบหลังวัดโพธิสมภรณ์ไปประมาณ ๑๐๐ เมตรจะเจอร้านวีทีแหนมเนืองอยู่ฝั่งตรงข้าม

        หากพูดถึงแหนมเนืองเจ้าดังในเมืองหนองคายคงต้องนึกถึง แดงแหนมเนือง หากพูดถึงเมืองอุดรธานีก็คงต้องเป็น วีทีแหนมเนือง ไหน ๆ ก็มาถึงเมืองอุดรธานีทั้งทีเลยอยากลองร้านดังจะได้ไม่เป็นการเสียเที่ยว ที่นี่นอกจากแหนมเนืองแล้วยังมีสินค้าอื่น ๆ ขายคล้ายกับศูนย์ขายของฝากทั่วไป แหนมเนืองที่นี่มีเซตสำหรับเดินทางด้วยใส่ในกล่องแน่นหนาเก็บได้ประมาณ ๒ วัน เดินชมสินค้าได้ไม่นานก็ได้แหนมเนืองเซตเดินทางกล่องใหญ่ ๑ กล่อง กล้วยฉาบ และอื่น ๆ ไปฝากที่บ้าน หมดค่าของฝากไปราว ๔๐๐ บาท... 

เส้นทางจากสวนสาธารณะหนองประจักษ์ไปร้านวีทีแหนมเนือง ระยะทาง ๑ กิโลเมตร

 ประตูหน้าสวนสาธารณะหนองประจักษ์ ฝั่งโรงพยาบาล

 แอบถ่ายหอพักข้างโรงพยาบาล

 หอพักของโรงพยาบาลเรียงกันอาร์ตดี

 ถึงสามแยกแล้วเดินเลี้ยวซ้ายโลด

 เดินเลียบกำแพงวัดโพธิสมภรณ์ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านวีทีแหนมเนือง

ถึงแล้ว ร้านวีทีแหนมเนือง

        เมื่อซื้อของฝากเสร็จท้องฟ้ายิ่งมืดหนักกว่าเดิม เห็นท่าไม่ดีถ้าเดินไปสถานีรถไฟอีกตั้ง ๓ กิโลเมตร  แถมยังต้องแบกสัมภาระที่หนักอยู่แล้ว รวมกับของฝากที่เพิ่งซื้อมาเพิ่มเข้าไปอีก ไม่แคล้วคงต้องเปียกฝนเป็นแน่ ผมเลยลองเรียกใช้บริการ Grab  ดูเป็นครั้งแรก ภายใน ๑๐ นาทีรถก็มารับ โชเฟอร์พูดจาสุภาพ เป็นกันเอง เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาเลยลองถามดูว่าทำไมมาขับ พี่แกบอกว่าขับเป็นอาชีพเสริมช่วงบ่ายถึงเย็นเฉย ๆ ลูกค้ายังไม่ค่อยเยอะมาก เพราะเพิ่งมีที่อุดรธานีไม่นาน ช่วงเวลา ๔ โมงครึ่งเช่นนี้การจารจรจึงค่อนข้างติดขัด อีกทั้งยังมีการเล่นน้ำสงกรานต์กันแทบทุกหัวมุมถนนทำให้รถติดมากขึ้นไปอีก เสียงเพลงดังกึกก้องที่แม้แต่อยู่ในรถที่ปิดกระจกแน่นหนาก็ยังคงได้ยิน ผู้คนบนท้ายรถกระบะที่ถือขวดสุราแล้วเดินลงมาเต้นบนถนนอย่างโจ่งแจ้ง ขณะติดไฟแดง เมื่อเห็นภาพเช่นนี้บางทีก็นึกสงสัยว่าควรจะหาทางแก้ไขอย่างไรดี หรือควรจะปล่อยผ่านเพราะปีหนึ่งมีแค่หนเดียว? 

       นั่งรถมาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหน้าสถานีรถไฟอุดรธานี เสียค่าโดยสารไป ๑๐๐ บาท จริง ๆ แล้ว ๘๐ บาท แต่ให้ทิปด้วย เพราะรู้สึกได้รับการบริการที่ดี ขณะนี้เวลา ๑๗:๐๐ น. แม้ฝนจะยังไม่ตกแต่ฟ้าก็เริ่มส่งเสียงคำราม ทำให้คิดว่าไม่ควรออกไปเลาะที่ไหนแล้ว นั่งรอรถไฟไปนี่ล่ะอีก ๓ ชั่วโมง บรรยกาศที่สถานีรถไฟอุดรธานีวันนี้คึกคักมาก แน่นอนว่าตั๋วถูกขายหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงตั๋วยืน ผมผู้ซึ่งจองตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้จอง(ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์) จึงหมดกังวลไป ตั๋วยืนจะมีสิทธิ์โดยสารได้เฉพาะชั้น ๓ เท่านั้น ส่วนตู้ชั้น ๒ ชั้น ๑ และตู้นอน จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปครับ นั่งรอไปประมาณ ๑ ชั่วโมงฝนก็เริ่มตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ผู้โดยสารมารอรถไฟกันมากขึ้นจนต้องมานั่งรอกันบนพื้นสถานีรถไฟเพราะม้านั่งไม่มีที่ว่างอีกต่อไปแล้ว... 


จากตั๋วรถด่วนพิเศษขบวนที่ ๒๖ (อีสานมรรคา) จะออกจากสถานีอุดรธานีเวลา ๑๙:๕๙ นาที ต้องนั่งรออีกตั้งเกือบ ๓ ชั่วโมง

 สถานีรถไฟอุดรธานี เห็นฟ้าใส ๆ แบบนี้ แต่พี่แกกำลังคำราม ฮึม ๆ อยู่นะครับ

 หัวรถจักรขนอุปกรณ์สร้างทาง

 ผู้โดยสารที่ทยอยมานั่งรอรถไฟกันเรื่อย ๆ จนไม่มีม้านั่งใดที่ยังไม่ถูกจับจอง

 รถไฟเสริมพิเศษช่วงสงกรานต์ขบวนที่ ๙๓๖ (อุดรธานี-กรุงเทพ) กำลังกลับหัวเตรียมไปกรุงเทพเวลา ๒ ทุ่ม ๔๐ นาที

 เดินไปถ่ายรูปหน้าสถานีรถไฟรอเวลาดีกว่า

 พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า

 ๑๘:๐๗น. รถด่วนดีเซลรางขบวนที่ ๗๕ (กรุงเทพ-หนองคาย) เพิ่งมาถึงอุดรธานี วันนี้ขบวน ๗๘ (หนองคาย-กรุงเทพ) เสียเวลาแน่ ๆ

 มองไปชานชาลาที่ ๒ รถเสริมพิเศษขบวนที่ ๙๓๖ (อุดรธานี-กรุงเทพ) จอดรอผู้โดยสารอยู่

 ม้านั่งถูกจับจองเต็มจนผู้โดยสารเริ่มมานั่งรอบนพื้นสถานี

๑๙:๓๐น. รถเร็วขบวน ๑๓๔ (หนองคาย-กรุงเทพ) มาถึงพอดี วันนี้พ่วงตู้นอนปรับอากาศด้วย ตอนที่ผมนั่งเมื่อต้นปีมีแต่ชั้น ๓ T_T



คลิปรถเร็วขบวนที่ ๑๓๔ (หนองคาย-กรุงเทพ) กำลังเทียบสถานีรถไฟอุดรธานี

 ร้อยละ ๙๕ เป็นตู้นั่งชั้น ๓ พ่วงตู้นอนชั้น ๒ ปรับอากาศเพียง ๑ ตู้

ผู้โดยสารกำลังเดินข้ามไปขึ้นรถไฟเสริมพิเศษช่วงสงกรานต์ขบวนที่ ๙๓๖ (อุดรธานี-กรุงเทพ) ซึ่งจะออกในเวลา ๒๐:๔๐ น.


๑๙:๕๔ น. รถด่วนพิเศษขบวนที่ ๒๖ (อีสานมรรคา) (หนองคาย-กรุงเทพ) เทียบชานชาลาที่ ๑ สถานีรถไฟอุดรธานี มาก่อนเวลาออก ๖ นาที :)

        เมื่อรถเร็วขบวนที่ ๑๓๔ ออกจากสถานีไปตอน ๑ ทุ่มครึ่ง ผมจึงเตรียมข้าวของไปยืนรอตรงชานชาลา ที่สถานีรถไฟอุดรธานีบนพื้นชานชาลามีระบุว่ารถไฟตู้ที่เราจะขึ้นจะจอดตรงบริเวณไหน นับว่าสะดวกมากเพราะทำให้ขึ้นรถไฟได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ยืนรอจนเวลา ๑๙:๕๔ น. รถด่วนพิเศษขบวนที่ ๒๖ (อีสานมรรคา) ก็มาถึง มาก่อนเวลาออก ๖ นาทีแน่ะ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ใช้บริการตู้นอนแบบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากจีนเมื่อปลายปี ๕๙ ความรู้สึกเมื่อเดินขึ้นรถที่ประตูเปิดด้วยระบบอัตโนมัติ เบาะที่นั่งตกแต่งด้วยสีแดงดูภูมิฐาน มีพนักงานคอยอำนวยความสะดวกบอกตำแหน่งที่นั่ง รถวิ่งนิ่มมากเดินทรงตัวได้สบาย ๆ ให้ความรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกับรถไฟตอนขามาแล้วรอบนี้รู้สึกตัวเองราวกับเป็นเจ้าชาย แน่นอนว่าราคาต่างกันถึง ๗๐๐ บาท (เตียงบนจะราคาถูกกว่าเตียงล่างประมาณ ๑๐๐ บาท ) แต่แลกกับความสะดวกสบายที่ได้รับ เหมือนได้นอนโรงแรมเคลื่อนที่แล้วถือว่าคุ้มค่า โชคดีจริง ๆ ที่จองตั๋วทันเพราะวันแรกที่เปิดจอง (วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์) ภายในครึ่งชั่วโมงแรกตั๋วก็เต็มหมดทุกที่นั่งแล้ว T_T อย่าได้ประมาทประเทศไทยช่วงเทศกาลเป็นอันขาด!!!

        เนื่องจากยังไม่ได้ทานอาหารเย็นจึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองใช้บริการตู้เสบียง ซึ่งบริเวณตู้เสบียงมีไวไฟฟรีให้บริการแต่ผมไม่ได้ลองใช้ ๕๕๕ ราคาอาหารค่อนข้างสูงไปมากเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้ แต่เอาเถอะถือว่าเป็นค่าประสบการณ์ เมื่อทานอาหารเสร็จจึงเดินกลับมาบริเวณที่นั่งซึ่งบัดนี้ถูกแปรสภาพเป็นเตียงนอนเรียบร้อยแล้ว เมื่อนำตั๋วให้เจ้าหน้าที่ตรวจเรียบร้อย จึงเดินไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วเตรียมนอนเอาแรง ขากลับต้องกลับแบบสบาย ๆ หน่อย ชาร์จพลัง เมื่อรถไฟมาถึงสถานีน้ำพองผมก็ไม่ได้สติอีกเลย ราตรีสวัสดิ์...

 เดินขึ้นมาบนรถไฟ มองหาที่นั่งตัวเอง

 เจอแล้ว เอาของวางแปป เดินไปหาอะไรกินตู้เสบียงก่อน

 การเดินข้ามตู้รถไฟเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะทางเดินเสมอกัน เพียงกดปุ่มวงกลมประตูก็จะเปิด

 มาถึงตู้เสบียงแล้ว คนน้อยกว่าที่คิด สงสัยดึกแล้ว

 ราคามหาโหด

 สั่งเซตถูกที่สุดมา ๑๔๐ บาท ไร้รสชาติมาก อร่อยสุดคือน้ำส้ม T_T

 แวะมาถ่ายห้องน้ำ ดูดี และสะอาดมาก แถมโถส้วมเป็นแบบสุญญากาศเหมือนเครื่องบิน

 แปรงฟัน ล้างหน้าแล้วก็ได้เวลาพักผ่อน ฝันดีครับ...

 แต่ละตู้จะมีหน้าจอบอกว่าตอนนี้รถไฟอยู่ที่ไหน วิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ และจะถึงสถานีปลายทางประมาณกี่โมง เรียกได้ว่าอัปเดตแบบ Real-time เลย

 เอาสัมภาระไปเก็บไว้ด้านบนก่อน

 แอบถ่ายตู้อื่น


DAY-4 วันจันทร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๖๑  

๐๔:๔๐ น. ถึงสถานีรถไฟสระบุรี
๐๕:๑๖ น. ถึงสถานีรถไฟอยุธยา
๐๕:๕๔ น. ถึงสถานีรถไฟรังสิต

          เวลาประมาณตี ๔ ผมก็ถูกปลุกขึ้นมาจากภวังค์ ขณะนี้เพิ่งถึงสถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย คงเสียเวลาแน่นอน เพราะในตั๋วบอกว่าถึงกรุงเทพฯ หกโมงเช้า จึงเดินออกไปล้างหน้า แปรงฟัน และดึงสายชาร์จแบตโทรศัพท์ออก ลืมบอกว่าแต่ละเตียงมีปลั๊กไฟไว้ชาร์จแบตส่วนตัวด้วย จากนั้นจังเอาหูฟังมาเสียบฟังเพลงลาว เพลงความฮู้สึกบอกของวง Cells ด้วยความรู้สึกที่ยังคิดถึงเมืองลาวอยู่ :)

        เมื่อเวลาตี ๕ หลังจากเห็นว่าผู้โดยสารที่อยู่เตียงบนแถวผมลงไปแล้วจึงขอให้คุณลุงพนักงานปรับที่นอนเป็นเก้าอี้นั่งให้ แล้วเดินไปตู้เสบียงที่เริ่มเปิดตั้งแต่ตี ๕ เพื่อไปหาเครื่องดื่มร้อน ๆ กินยามเช้า ได้ชามะลิร้อนมา ๑ แก้ว สนนราคา ๕๐ บาท !! นั่งจิบชาเพลิน ๆ ได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นที่ที่หยุดรถมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และไปสว่างที่สถานีรถไฟดอนเมือง พอถึงบางซื่อผู้โดยสารก็ลงไปเกือบทั้งตู้ จนรู้สึกว่ากำลังเหมือนนั่งรถไฟส่วนตัว ในที่สุดเวลา ๗ นาฬิการถไฟก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) เสียเวลาไป ๑ ชั่วโมง ขอบคุณที่มาส่งโดยสวัสดิภาพนะอีสานมรรคา...

 วางขวดน้ำจากลาวเท่ ๆ หน่อย

 เวลาตี ๕ จึงบอกพนักงานให้ช่วยเปลี่ยนที่นอนเป็นที่นั่งให้ เพราะอยากนั่งชมวิว

 ที่นั่งมีช่องหว่างระหว่างขา กว้างพอจะเหยียดขาได้สบาย กรณีที่ไม่มีผู้โดยสารอีกคนนั่งอยู่ตรงข้าม

 เดินไปซื้อชาร้อนที่ตู้เสบียงมาดื่มรับอรุณเสียหน่อย

 ถึงบางซื่อแล้ว

 ที่สถานีบางซื่อผู้โดยสารหายไปกว่าร้อยละ ๘๐

 สถานีกลางบางซื่อ สถานีรถไฟแห่งใหม่ที่จะมาเป็นศูนย์กลางของระบบรางในไทยแทนสถานีกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ขณะนี้ก่อสร้างคืบหน้าไปมากแล้ว

 ณ ตอนนี้เหมือนรถไฟส่วนตัว

 เข้าย่านสถานีกรุงเทพฯ (หัวลำโพงแล้ว)

 ถึงแล้วบางกอก แดนศิวิไลซ์ เมืองที่ใครต่อใครต้องมา ^^

 อาโน! แวร์อีสพลัสโฟร์มไนน์แอนด์ทีควอเต้อ?
ขอโทษครับชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ไปทางไหน?

 ขอบใจเด้อ อีสานมรรคาที่ซ่วยมาส่งข่อยโดยปลอดภัย

 เดินออกมาหน้าหัวลำโพง

                                 ส่งท้ายทริปด้วยภาพ หัวลำโพง ข้างวัดสุทัศน์มีเสาชิงช้าาาาาา

                    เพลงความฮู้สึกบอก ฟังทีไรภาพความทรงจำที่ลาวก็ลอยเข้ามาในหัวทุกที :)

        จบทริปต่างประเทศทริปแรกของผมไปแล้ว แถมยังเป็นทริปเดี่ยวเสียด้วย พอไปออกทริปจริงจังแล้วก็นึกถึงคำพูดที่ว่า "ให้เที่ยวตั้งแต่ยังมีแรง" แล้วพบว่าจริงมาก ในช่วงทริปเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าร่างกายแข็งแรงอย่างไรย่อมได้เปรียบ และคล่องตัวกว่าอยู่แล้ว สำหรับทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีตัวผม ไม่มีงานพิเศษ ที่ทำให้มีทุนทรัพย์ ขอบคุณตัวเองที่หาญกล้าจะออกนอกกรอบ และทำความฝันให้เป็นจริง ขอบคุณพ่อแม่ที่ไม่คัดค้าน และคอยส่งกำลังใจอยู่ห่าง ๆ ขอบคุณเอคลุงที่ให้กำลังใจก่อนไป จนถึงตอนกลับ และขอบคุณทุกคนที่อยู่รอบตัวผม และขาดไม่ได้เลยคือท่านผู้อ่านที่ตามอ่าน และคอยให้กำลังใจเสมอมา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะออกเดินทางและมาแบ่งปันเรื่องราวต่อ...


        สรุปค่าใช้จ่ายวันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑

  1. ค่าตั๋วรถทัวร์เวียงจันทน์-อุดรธานี  ๒๔,๐๐๐ กีบ (๙๔ บาท)
  2. ทำบุญวัดอินแปง                        ๒๕,๐๐๐ กีบ (๙๘ บาท)                                       
  3. ทำบุญวัดมีไซ                                     ๒๐ บาท                                     
  4. เป๊บซี่                                           ๕,๐๐๐ กีบ (๑๙ บาท )                           
  5. บัตรผ่านแดนลาว                                ๕๐ บาท
  6. ชานม                                                ๒๕ บาท                 
  7. อาหารกลางวันแมคโดนัลด์                  ๘๘ บาท
  8. ของฝาก                                          ๔๓๐ บาท
  9. ค่า Grab                                        ๑๐๐ บาท
รวม ๕๔,๐๐๐ กีบ + ๗๑๓ บาท (๙๒๔ บาท)
*เงินบาทเป็นการประมาณจากอัตราแลกเปลี่ยนวันที่เดินทางเท่านั้น
        
        สรุปค่าใช้จ่ายวันจันทร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๑
  1. ชามะลิร้อน ๕๐ บาท
รวม ๕๐ บาท

        สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทริป
  1. วันพฤหัสบดี ที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๖๑   ๓๐๓ บาท
  2. วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑            ๗๙๑.๕๑ บาท (๑๐๕,๐๐๐ กีบ)                            
  3. วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๑              ๘๕,๕๐๐ กีบ (๓๓๐ บาท)                                      
  4. วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑          ๕๔,๐๐๐ กีบ + ๗๑๓ บาท (๙๒๔ บาท )                           
  5. วันจันทร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๑                 ๕๐ บาท
  6. ค่ารถไฟขาไป                                    ๒๔๘ บาท                 
  7. ค่ารถไฟขากลับ                                 ๙๗๙ บาท
  8. ค่าโรงแรมมะลิน้ำพุ                       ๗๔๐ บาท + ภาษี ๒๐๐ บาท  (๙๔๐ บาท)
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป ๔,๕๖๕.๕๑ บาท หักค่าของฝากออกเหลือ ๔,๑๓๕.๕๑ บาท
*เงินบาทเป็นการประมาณจากอัตราแลกเปลี่ยนวันที่เดินทางเท่านั้น

        สำหรับงบประมาณที่ตั้งไว้ ๖,๐๐๐ บาท ใช้ไป ๔,๑๓๕.๕๑ บาท ถือว่าประหยัดกว่าที่คิดมากสำหรับทริปเดี่ยวที่ไม่มีใครหาร T_T สำหรับเอนทรี่หน้าหากมีแรงบันดาลใจ หรือเรื่องราวที่อยากเล่าจะมีมาอีกแน่นอน สำหรับวันนี้ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคน และจะยินดีมากหากมีใครจะไปลาวแล้วได้ประโยชน์จากเรื่องราวของผม มาเล่าสู่กันฟังได้เสมอเลยครับ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ...

Related Articles

0 comments:

Post a Comment