Saturday, 9 June 2018

SAMA'S Story : ตะลอนเมืองลาว (EP.1) เดินทางสู่หนองคายด้วยรถไฟที่เต็มไปด้วยมหาชน


      กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ห่างหายจากบล๊อกไปเสียนาน "ยังคึดฮอดกันอยู่บ่?" หลังจากฝ่าฝันการเรียนมหาวิทยาลัย จนตอนนี้ก็จบปีสอง อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว (เย่) เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์ในต่างแดนครั้งแรกในชีวิตช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเสียหน่อย ถ้าพร้อมแล้วก็นั่งรถตามมาเลย!!!
       เมื่อวันเกิดอายุ ๒๐ ปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำพาสปอร์ตเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง ด้วยความหวังว่าจะทำให้กระตุ้นต่อมความอยากเที่ยวให้ตัวเองมากขึ้น การมีพาสปอร์ตอยู่ในมือก็คงจะทำให้ได้ไปสัมผัสโลกง่ายขึ้น เวลาผ่านไปหนึ่งปีในที่สุดทริปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตก็เกิดขึ้นหลังกลับมาจากไปเที่ยวภาคอีสานกับครอบครัวช่วงปีใหม่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะข้ามไป สปป.ลาวขึ้นมา จึงเริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ศึกษาข้อมูลและค่าใช้จ่ายมาพอสมควร จองตั๋วรถไฟไปกลับและที่พักล่วงหน้า ในที่สุดก็ใกล้ถึงวันที่จะออกเดินทางในวันที่ ๑๒ เมษายนแล้ว สงกรานต์ที่มหาวิทยาลัยให้วันหยุดถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม แต่กำหนดวางแผนไว้ว่าจะเดินทางเย็นวันที่ ๑๒ เที่ยววันที่ ๑๓ ถึง ๑๕ และเดินทางกลับเย็นวันที่ ๑๕ โดยรถไฟ ก่อนจะกลับถึงบ้านในวันที่ ๑๖  สิริรวมเวลา ๕ วัน ๔ คืน นอนโรงแรม ๒ คืน และนอนบนรถไฟ ๒ คืน โดยเอนทรี่นี้จะเล่าเรื่องราวในวันที่ ๑๒ และ ๑๓ เมษายน 

        แม้จะไปไม่ใกล้ไม่ไกลไปประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว แต่ก็ตื่นเต้นมากอยู่ดีเพราะจะเป็นการออกนอกประเทศแบบจริงจัง (ไม่นับเดินข้ามชายแดน ถ่ายกับป้ายสุดเขตประเทศไทยแล้ววิ่งกลับเข้ามานะ ๕๕๕) ครั้งแรก แถมยังทำเท่ฉายเดี่ยวไปคนเดียวอีกต่างหาก คราวนี้จะไปทำเซ่อซ่า หลงทิศทางในต่างบ้านต่างเมืองหรือไม่ ก็เอาใจช่วยผมไปตลอดทริปด้วยนะครับ //\\

DAY-0 วันพฤหัสบดี ที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๖๑

๑๔:๐๐ ให้พ่อออกมาส่งที่คิวรถตู้ นั่งรถตู้ไปลงหมอชิต
๑๕:๑๐ ถึงหมอชิต ต่อรถตู้ไปมหาวิทยาลัย
๑๖:๐๐  ถึงมหาวิทยาลัย จัดของใส่กระเป๋า สำรวจสัมภาระเตรียมออกเดินทาง
๑๖:๓๐  นั่งรถเมล์จากมหาวิทยาลัยไปฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
๑๗:๐๐ กินอาหารเย็น+เดินเล่นที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
๑๘:๒๐ เดินจากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ไปสถานีรถไฟรังสิต

      เนื่องจากมหาวิทยาลัยหยุดตั้งแต่วันที่ ๑๐ เลยกลับมาเคลียร์งานต่าง ๆ ที่บ้านก่อน จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ จึงต้องเดินทางย้อนไปมา จากตั๋วรถไฟที่จองล่วงหน้าไว้ตั้งแต่วันแรกที่ให้เปิดจอง (จองล่วงหน้าก่อนวันเดินทางได้ ๖๐ วัน) ตอนแรกว่าจะไปกับรถนอนใหม่ รถด่วนพิเศษขบวนที่ ๒๕ (อีสานมรรคา) ทั้ง ๆ ที่จองวันแรกที่เปิดให้จองแต่ก็ แห้ว ครับ เลยต้องยอมไปกับรถด่วนขบวนที่ ๗๗ ชั้น ๓ นั่งตลอดทาง แต่ก็แลกกับราคาที่ประหยัดกว่าถึง ๗๐๐ บาท ด้วยราคาเพียง ๒๔๘ บาทเท่านั้น โดยรถไฟจะออกจากสถานีรถไฟรังสิตเวลา ๑๙:๓๔ นาที และไปถึงสถานีหนองคายเวลา ๐๔:๑๕ นาที  

      หลังจากอิ่มหนำสำราญกับ เคเอฟซี ที่ฟิวเจอร์พาร์ค เหลือบดูมองเวลาในโทรศัพท์ ๑๘:๒๐ แล้วหรือนี่ เลยรีบย่ำเท้าเดินจากฟิวเจอร์พาร์ค ไปที่สถานีรถไฟรังสิตในทันที บรรยากาศรังสิตยามเย็นวันที่ ๑๒ เมษายน ยังคงคับคั่งไปด้วยรถราและผู้คน (นึกว่ากลับภูมิลำเนากันไปหมดแล้วเสียอีก) ร้านอาหารริมทางยังคงตั้งขายเหมือนวันปกติ ลูกค้าก็ยังคงเนืองแน่นดังเช่นทุก ๆ วัน  ที่ต่างจากวันปกติคือเมื่อเดินไปถึงสถานีรถไฟรังสิต ที่ปัจจุบันไม่มีอาคารสถานีแล้วเนื่องจากการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง ในอีก ๒ ปีข้างหน้าชาวรังสิตจะได้มีรถไฟฟ้าใช้แล้ว (เย่) มีผู้คนหนาตากว่าทุกวัน เก้าอี้นั่งรอรถไฟทุกที่นั่งถูกจับจองไปด้วยผู้คนที่บ้างก็มากันทั้งสามี ภรรยา ลูกเด็กเล็กแดง บ้างก็มากันเป็นคู่รัก คู่พี่น้อง คงจะมีแต่ผมล่ะมั้งที่มาคนเดียว ทุกคนต่างหอบสัมภาระกันมามากมาย เท่าที่ดูด้วยสายตาคงเป็นของที่นำไปฝากญาติพี่น้องที่ภูมิลำเนา เสียงเซ็งแซ่เจี๊ยวจ๊าวของเด็กที่ยังไม่รู้ประสา เสียงโทรศัพท์หาคนที่บ้านด้วยภาษาถิ่น แถวที่เรียงยาวเพื่อซื้อตั๋วโดยสาร แม้จะมีป้ายติดว่าตั๋ววันที่ ๑๒ เมษายน เต็มหมดแล้ว! แต่ยังมีตั๋วสำหรับยืนอยู่ เพื่อไปให้ถึงภูมิลำเนาในโอกาสครั้งสำคัญแม้จะเหนื่อยหน่อย ก็ต้องจำยอม

ตั๋วขาไป
รังสิตยามย่ำสนธยา
สถานีรถไฟรังสิตเที่ยวล่อง

สถานีรถไฟรังสิตมองไปทางเที่ยวขึ้น
ผู้คนที่มาต่อแถวซื้อตั๋วโดยสาร
       นั่งรอรถไฟตั้งแต่หกโมงเย็นจนพระอาทิตย์ตกดิน จนเวลาหนึ่งทุ่ม ก็ยังไม่ได้ยินเสียงประกาศถึงรถด่วนขบวนที่ ๗๗ เลย คาดว่าคงจะเสียเวลาเป็นแน่แท้ จนเวลา ๑๙:๑๑ รถด่วนพิเศษขบวนที่ ๙ อุตราวิถี (กรุงเทพ-เชียงใหม่) ได้เข้าเทียบท่าที่สถานี โอ้โหนี่น่ะหรือรถนอนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ดูโอ่อ่า สะอาด น่านั่งมาก ผู้โดยสารดูภูมิฐาน ประตูรถที่เปิดเองอัตโนมัติแล้วมีพนักงานมาคอยต้อนรับ นึกว่าเครื่องบิน ไว้โอกาสหน้าจะนั่งไปเชียงใหม่ให้ได้เลย ส่วนขากลับของทริปนี้นับว่าโชคดีมากที่ผมจองตู้นอนแบบใหม่ทัน โดยส่วนตัวแล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์กับรถนอนใหม่มาก่อน ไว้เขียนไปถึงตอนจบแล้วจะมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกทีครับ 

        หลังชื่นชมกับรถนอนใหม่จนลืมว่ารถของตัวเองจะมาตอนไหนก็ไม่รู้นั้น ในที่สุดเวลา ๑๙:๔๕ รถด่วนขบวนที่ ๗๗ (กรุงเทพ-หนองคาย) ก็มาถึงเสียที (เวลาตามตั๋ว ๑๙:๓๔ เสียเวลาไป ๑๑ นาที) รถไฟความยาว ๕ คัน ขบวนนี้ล่ะที่จะพาผมไปหนองคาย รถไฟที่มีชั้น ๒ นั่งปรับอากาศเพียง ๑ ตู้ นอกนั้นเป็นชั้น ๓ นั่งพัดลม ที่เนืองแน่นไปด้วยมวลมหาประชาชนมนุษย์ตั๋วยืน โชคดีที่ผมจองล่วงหน้าทำให้มีเลขที่นั่ง แต่การจะเดินฝ่าฝูงชนพร้อมสัมภาระหนักอึ้งเต็มหลังไปยังที่นั่งนั้นนับว่าทำได้ยากนัก แถมยังมีมนุษย์ตั๋วยืนมานั่งที่นั่งที่เราจองเสร็จสรรพแล้ว แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แค่รักษาสิทธิ์ของเราโชว์ตั๋วที่มีเลขที่นั่งให้เขาดู เราก็จะได้นั่งครับ  ตามหลักการแล้วตั๋วยืนสามารถนั่งเก้าอี้ที่ว่างได้กรณีที่เจ้าของที่ไม่มาครับ แต่ถ้าเจ้าของที่มาเมื่อไหร่ก็ต้องลุกให้เจ้าของที่นั่งตามกติกาครับ 

รถด่วนพิเศษอุตราวิถีชั้น ๑
มาแล้ว รถด่วนขบวนที่ ๗๗

ภายในรถไฟชั้น ๓ ช่วงเทศกาล แน่นจนไม่มีอากาศจะหายใจ
  
        หลังจากปรับตัวให้คุ้นชินกับที่นั่งที่อัดแน่นไปด้วยสัมภาระ ที่ทำให้ช่องระหว่างที่นั่งแคบจนไม่สามารถเหยียดขาได้ ผู้คนที่ยืนออกันแน่นจนไม่อยากนึกสภาพตอนที่ลุกออกไปเข้าห้องน้ำ นี่เราต้องอยู่ในสภาพนี้เป็น ๑๐ ชั่วโมงเลยหรือนี่ T_T  โชคดีที่จองที่นั่งริมหน้าต่างจนทำให้พอหายใจหายคอและดื่มด่ำกับทิวทัศน์ยามราตรีพอจะลืมความเมื่อยล้าไปได้บ้าง เมื่อคุ้นชินแล้วจึงโทรศัพท์บอกที่บ้านว่าออกเดินทางแล้ว และเก็บภาพข้างทางบางส่วนเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้สึกในวันนั้นไว้ รวมถึงบันทึกเวลาที่ถึงสถานีที่รถไฟจอดไว้ใน memo 

๒๐:๒๔ ถึงสถานีรถไฟอยุธยา
๒๑:๐๒ ถึงสถานีรถไฟสระบุรี
๒๑:๑๗ ถึงสถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
๒๒:๒๓ ถึงสถานีรถไฟปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
๒๓:๒๙ ถึงสถานีรถไฟนครราชสีมา
๐๐:๐๔ ถึงสถานีรถไฟชุมทางถนนจิระ จังหวัดนครราชสีมา
๐๑:๕๓ ถึงสถานีรถไฟชุมทางบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
๐๒:๓๕ ถึงสถานีรถไฟเมืองพล จังหวัดขอนแก่น
๐๓:๑๐ ถึงสถานีรถไฟบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
๐๓:๔๗ ถึงสถานีรถไฟขอนแก่น
๐๕:๐๒ ถึงสถานีรถไฟกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
๐๕:๓๕ ถึงสถานีรถไฟอุดรธานี

      เคยได้ยินมาว่ารถไฟดีเซลรางวิ่งได้เร็วถึง ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงคิดว่าน่าจะไปถึงตามเวลาที่ระบุในตั๋วคือ ตี ๔ ๑๕ นาที เช้าอะไรปานนั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะตั้งแต่สถานีรถไฟนครราชสีมา ไปจนถึงสถานีรถไฟขอนแก่น มีการก่อสร้างรถไฟทางคู่ตลอดทาง ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความล่าช้า แต่หากโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์จะย่นเวลาได้มาก เพราะรถไฟจะวิ่งได้โดยไม่ต้องรอสับหลีกกัน แถมตัวสถานีมีการยกระดับด้วยเพื่อเลี่ยงจุดตัดกับถนน เท่าที่ดูก็พบว่าโครงการคืบหน้าไปมากแล้ว (ขอชื่นชม) กว่าจะถึงอุดรฯ พระอาทิตย์ก็ขึ้นเสียแล้ว 

สถานีรถไฟอยุธยา 
สถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย 
รถเร็วเที่ยวล่อง (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) คนโล่งเชียว 
ถึงอุดรแล้ว !!!
DAY-1 วันศุกร์ ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์)


        หลังจากรถไฟเคลื่อนออกจากสถานีรถไฟอุดรธานี ผู้โดยสารบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะลงที่อุดรฯ กว่าร้อยละ ๘๐ จนตอนนี้รถไฟเรียกได้ว่าแทบจะโล่ง ในที่สุดก็เหยียดขาได้อย่างสะดวกเสียที หลังจากนั่งถ่างตาไม่ได้หลับ และลุกไปไหนเลยตลอดคืน T_T สถานีต่อไปที่จะจอดคือสถานีปลายทาง สถานีหนองคายแล้ว จึงตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ ที่ได้นั่งรถไฟสายอีสานไปจนสุดสาย ปกตินั่งไปไกลสุดแค่บ้านไผ่ ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แถมยังเป็นครั้งแรกที่ได้ไปหนองคายด้วย รู้สึกกำลังค่อย ๆ ออกจาก comfort zone ไปทีละน้อย


        ผู้คนบนรถไฟเริ่มกางหนังสือพิมพ์มาอ่านรับรุ่งอรุณใหม่ เริ่มมีการจับกลุ่มคุยสัพเพเหระ บางคนก็ไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือหนองคาย จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้มาพูดคุยกันได้ ส่วนตัวผมนั้นขอดื่มด่ำกับทิวทัศน์ข้างทางเงียบ ๆ ดีกว่า ๕๕๕

        ทิวทัศน์ระหว่างทางในยามเช้าแม้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน แต่กลับเขียวขจีกว่าที่คิด อากาศก็เย็นสบาย ส่วนใหญ่เป็นไร่นา สลับกับบ้าน ชุมชนเล็ก ๆ และวัด ตั้งอยู่บนโคก เนิน เป็นภูมิประเทศที่ดูแล้วเพลินตาดี พอใกล้ถึงสถานีหนองคายข้างทางเริ่มเป็นชุมชนและเริ่มมีขยะ โดยเฉพาะถุงพลาสติก ในรถไฟมีทุกคันถุงดำให้ทิ้งขยะ ถ้าเป็นไปได้อย่าโยนออกไปทิ้งนอกหน้าต่างเลยครับ //\\ 

        เวลา ๐๖:๔๐ โดยประมาณ ในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟหนองคาย เย่ เสียเวลาไป ๒ ชั่วโมง ๒๕ นาที แต่ถ้ามาถึงตี ๔ ตามตั๋วก็คงไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน เช้าเกินไป ๕๕๕ สรุปรวมใช้เวลาบนรถไฟไปประมาณ ๑๑ ชั่วโมงครึ่ง กับระยะทางกว่า ๖๐๐ กิโลเมตร เมื่อมาถึงหนองคายปุ๊บ สิ่งแรกที่ทำคือถ่ายรูปรถไฟที่นั่งมา สำรวจสถานีรถไฟหนองคาย และโทรไปรายงานที่บ้านว่ามาถึงหนองคายโดยสวัสดิภาพแล้ว :)


วิวทิวทัศน์ระหว่างทาง

 ก่อนถึงสถานีหนองคาย ขยะ T_T
 รถไฟที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ๑๑ ชั่วโมง
แหน่ ๆ ตาวิเศษเห็นนะ TmT
 ขอบคุณครับรถด่วนขบวน ๗๗
 สถานีต่อไปก็เป็นประเทศลาวแล้ว
รถด่วนขบวน ๗๗ ก่อนจะแปลงร่างเป็นรถด่วนขบวน ๗๖ เดินทางไปกรุงเทพต่อในเวลา ๗ โมงเช้า 
ดีเซลรางที่เห็นลิบ ๆ คือรถไฟที่จะข้ามไปสถานีท่านาแล้ง สปป.ลาว


        เนื่องจากอัปรูปต่อไม่ได้แล้วจึงขอจบเอนทรี่นี้แต่เพียงเท่านี้ ในเอนทรี่หน้าจะพาทุกท่านไปทานอาหารเช้าที่เมืองหนองคาย และพาข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาวกัน อย่าลืมติดตามอ่านและเอาใจช่วยผมด้วยนะครับ 

สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก (วันพฤหัสบดี ที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๖๑)

รถตู้ แม่กลอง-หมอชิต ๙๐ บาท

รถตู้ หมอชิต-มธ. ๓๕ บาท

น้ำดื่ม ๗ บาท
ลูกอม ๑๘ บาท
รถเมล์ไปฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ๑๕ บาท
ชานมไข่มุก ๒๕ บาท
เคเอฟซี ๕๙ บาท
หน้ากากอนามัย ๒๙ บาท
ชาอู่หลง ๒๕ บาท
รวม ๓๐๓ บาท





Related Articles

0 comments:

Post a Comment