SAMA'S Story : ตะลอนเมืองลาว (EP.4) ปีนประตูไซ ชมทิวทัศน์นครหลวง จิบกาแฟชิล ๆ ณ เวียงจันทน์
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในที่สุดก็เดินทางมาถึงวันที่ ๒ ในสปป.ลาวกันแล้ว เย่ ถึงจะใช้เวลาในวันที่ ๑ ถึง ๓ ตอนก็เถอะเพราะต้องการบรรยายให้ละเอียดให้มากที่สุดเพื่อบันทึกความทรงจำให้ตนเอง และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่อยากจะตามรอยบ้าง (ภาพและตัวหนังสือเลยอาจจะเยอะไปหน่อย T_T ) ในตอนนี้ตั้งใจจะเขียนให้จบวันที่ ๒ ในหนึ่งตอนครับ แต่ในที่สุดแล้วก็แบ่งเป็น ๒ ตอนแล้วกันเนื้อหา และภาพมันเยอะจริง ๆ T_T วันนี้จะพาไปชมทัศนียภาพเมืองเวียงจันทน์มุมสูงแบบเต็มอิ่ม และพาไปเข้าคาเฟ่ที่เวียงจันทน์ครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามผมมาเลย !!!
หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถคลิกกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เพื่อความต่อเนื่อง!
************************************************************************************
*EP.1 เดินทางสู่หนองคายด้วยรถไฟที่เต็มไปด้วยมหาชน
*EP.2 พาชมแม่น้ำโขง กินไข่กระทะ หลงทางที่เวียงจันทน์
DAY-2 วันเสาร์ ที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์)
คืนแรกในต่างประเทศครั้งแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางทีก็คงไม่ต่างจากการนอนที่บ้านปกติก็ได้เพียงแต่จิตปรุงแต่งให้รู้สึกไปต่าง ๆ นานาก็เท่านั้น แสงแดดที่แยงตาปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากห้วงหลับใหล เนื่องจากต้องการพักผ่อนร่างกายให้เต็มที่เพื่อจะได้มีเรื่อยแรงไปเดินเที่ยวให้เต็มที่ จึงไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ พอเหลือบดูเวลาก็เป็นเวลา ๗ โมงครึ่งเข้าไปแล้ว จึงรีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ตั้งใจจะแต่งชุดไทยชมเมืองเวียงจันทน์ เนื่องในโอกาศขึ้นปีใหม่ของประเทศลาว หวังว่าคงจะไม่สะดุดตาจนเกินไปนะ เพราะใส่เพียงเสื้อนอกสีครีมติดกระดุมแบบที่คุณลุง คุณตาทั้งหลายชอบใส่ไปวัด และกางเกงทรงโจงกระเบน กับหมวกทรงสูงเท่านั้น :D
เวลา ๘ โมงเช้าหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยจึงรีบเดินไปรับอาหารเช้าฟรีที่สวนอาหารที่อยู่ชั้น ๑ ของโรงแรม เดินลงบันไดมาถึงชั้น ๑ จะเจอกับป้ายประชาสัมพันธ์ที่มีทั้งแผนที่ประเทศลาว แผนที่นครหลวงเวียงจันทน์ เบอร์โทรศัพท์สำคัญ เช่น โรงพยาบาล บริษัททัวร์ต่าง ๆ สามารถไปดูศึกษาเส้นทาง และวางแผนการท่องเที่ยวของตนเองได้ครับ เจอป้ายประชาสัมพันธ์แล้วให้เดินเลี้ยวขวาจะเจอสวนอาหารของโรงแรม บรรยากาศสวนมีต้นไม้ล้อมรอบ แม้จะไม่ได้ให้ร่มเงาอะไรแต่มองแล้วก็รู้สึกสดชื่นในความเขียวขจีได้ อีกทั้งอากาศยามเช้าก็ยังไม่ร้อนทำให้นั่งทานอาหารกลางแจ้งชมพืชพรรณได้สบาย ๆ เช้านี้แขกที่ทานอาหารที่โรงแรมค่อนข้างบางตา อาจจะเพราะเริ่มสายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป และนักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่อยู่ในวัยรุ่น เท่าที่สังเกตยังไม่เจอใครที่มาคนเดียวแบบผมเลยสักคน T_T
อาหารเช้าที่โรงแรมมะลิน้ำพุเป็นแบบให้ตักบริการตนเอง จะตักเท่าไรก็ได้ หมดแล้วยังไม่อิ่มก็สามารถไปเติมได้อีก โดยอาหารที่มีบริการก็มีจำพวกโจ๊ก ข้าวผัดอเมริกัน ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปัง พร้อมเนย แยมให้เลือกทาเอาเอง กล้วยหอม สับปะรด แตงโม ส่วนเครื่องดื่มมีน้ำส้ม น้าเปล่า และเครื่องชงกาแฟบริการ เรียกได้ว่ามีอาหารเช้าบริการค่อนข้างหลากหลาย สามารถอิ่มท้องได้สบาย ๆ ประหยัดค่าอาหารเช้าไปหนึ่งมื้อ :) สำหรับเช้านี้ผมเลือกทานข้าวผัดอเมริกันร้อน ๆ หอมกลิ่นเนย โปะหน้าด้วยออมเล็ตสีเหลืองกำลังดี รสชาติเค็มเนยนิด ๆ แต่อร่อยดี ส่วนเครื่องดื่มเลือกเป็นน้ำส้ม และลาเต้ร้อน ๆ หอมนม เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวพร้อมลุยเที่ยวอย่างสดใสไปตลอดวัน :D
แน่นอนว่าบางท่านอาจจะคิดว่าเมื่อคืนก็ไปประตูไซมาแล้ว จะไปอีกทำไม? เพราะว่าวันนี้ผมไม่ได้มาดูประตูไซอย่างเดียวแต่จะพาทุกท่านขึ้นไปชมวิวด้านบนประตูไซด้วย ^^ เมื่อข้ามทางม้าลายอย่างระแวดระวังแล้วในที่สุดก็ได้มายืนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไซเสียที พอได้มายืนมองใกล้ ๆ แล้วรู้สึกว่าใหญ่โตกว่าที่คิดโขเลย แน่นอนว่าคำว่าประตูไซแปลว่า ประตูชัย ซึ่งแปลได้อีกว่าประตูแห่งชัยชนะ สร้างขึ้นเพื่อสดุดีแด่วีรชนลาวที่ร่วมรบกับฝรั่งเศสเพื่อเอกราชของประเทศลาว สร้างขึ้นเลียนแบบ L'arc de triomphe de l'Étoile หรือประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านช้าง สร้างเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๑ แรกเริ่มเดิมทีเรียกว่า อนุเสาวรีย์ แต่หลังจากที่คณะปฏิวัติคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจรัฐบาลได้ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ จึงเปลี่ยนไปเรียกเป็น ประตูไซ เพื่อแสดงถึงชัยชนะของคณะปฏิวัติคอมมิวนิสต์
จ่ายเงินก่อนแล้วไปหาที่นั่งรออาหารมาเสริฟ์ ค่าเสียหายมื้อนี้ ๔๑,๐๐๐ กีบ (๑๕๘ บาท)
*EP.2 พาชมแม่น้ำโขง กินไข่กระทะ หลงทางที่เวียงจันทน์
*EP.3 ลิ้มรสแหนมเนือง ท่องราตรี ณ เวียงจันทน์
************************************************************************************DAY-2 วันเสาร์ ที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๖๑ (วันสงกรานต์)
คืนแรกในต่างประเทศครั้งแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางทีก็คงไม่ต่างจากการนอนที่บ้านปกติก็ได้เพียงแต่จิตปรุงแต่งให้รู้สึกไปต่าง ๆ นานาก็เท่านั้น แสงแดดที่แยงตาปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากห้วงหลับใหล เนื่องจากต้องการพักผ่อนร่างกายให้เต็มที่เพื่อจะได้มีเรื่อยแรงไปเดินเที่ยวให้เต็มที่ จึงไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ พอเหลือบดูเวลาก็เป็นเวลา ๗ โมงครึ่งเข้าไปแล้ว จึงรีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ตั้งใจจะแต่งชุดไทยชมเมืองเวียงจันทน์ เนื่องในโอกาศขึ้นปีใหม่ของประเทศลาว หวังว่าคงจะไม่สะดุดตาจนเกินไปนะ เพราะใส่เพียงเสื้อนอกสีครีมติดกระดุมแบบที่คุณลุง คุณตาทั้งหลายชอบใส่ไปวัด และกางเกงทรงโจงกระเบน กับหมวกทรงสูงเท่านั้น :D
เวลา ๘ โมงเช้าหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยจึงรีบเดินไปรับอาหารเช้าฟรีที่สวนอาหารที่อยู่ชั้น ๑ ของโรงแรม เดินลงบันไดมาถึงชั้น ๑ จะเจอกับป้ายประชาสัมพันธ์ที่มีทั้งแผนที่ประเทศลาว แผนที่นครหลวงเวียงจันทน์ เบอร์โทรศัพท์สำคัญ เช่น โรงพยาบาล บริษัททัวร์ต่าง ๆ สามารถไปดูศึกษาเส้นทาง และวางแผนการท่องเที่ยวของตนเองได้ครับ เจอป้ายประชาสัมพันธ์แล้วให้เดินเลี้ยวขวาจะเจอสวนอาหารของโรงแรม บรรยากาศสวนมีต้นไม้ล้อมรอบ แม้จะไม่ได้ให้ร่มเงาอะไรแต่มองแล้วก็รู้สึกสดชื่นในความเขียวขจีได้ อีกทั้งอากาศยามเช้าก็ยังไม่ร้อนทำให้นั่งทานอาหารกลางแจ้งชมพืชพรรณได้สบาย ๆ เช้านี้แขกที่ทานอาหารที่โรงแรมค่อนข้างบางตา อาจจะเพราะเริ่มสายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป และนักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่อยู่ในวัยรุ่น เท่าที่สังเกตยังไม่เจอใครที่มาคนเดียวแบบผมเลยสักคน T_T
อาหารเช้าที่โรงแรมมะลิน้ำพุเป็นแบบให้ตักบริการตนเอง จะตักเท่าไรก็ได้ หมดแล้วยังไม่อิ่มก็สามารถไปเติมได้อีก โดยอาหารที่มีบริการก็มีจำพวกโจ๊ก ข้าวผัดอเมริกัน ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปัง พร้อมเนย แยมให้เลือกทาเอาเอง กล้วยหอม สับปะรด แตงโม ส่วนเครื่องดื่มมีน้ำส้ม น้าเปล่า และเครื่องชงกาแฟบริการ เรียกได้ว่ามีอาหารเช้าบริการค่อนข้างหลากหลาย สามารถอิ่มท้องได้สบาย ๆ ประหยัดค่าอาหารเช้าไปหนึ่งมื้อ :) สำหรับเช้านี้ผมเลือกทานข้าวผัดอเมริกันร้อน ๆ หอมกลิ่นเนย โปะหน้าด้วยออมเล็ตสีเหลืองกำลังดี รสชาติเค็มเนยนิด ๆ แต่อร่อยดี ส่วนเครื่องดื่มเลือกเป็นน้ำส้ม และลาเต้ร้อน ๆ หอมนม เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวพร้อมลุยเที่ยวอย่างสดใสไปตลอดวัน :D
หลอดไฟในห้องนอน
โถงทางเดินชั้น ๔ ของโรงแรมมะลิน้ำพุ
มองวิวออกไปที่นอกระเบียง สะบายดีเวียงจันทน์ยามเช้า
ทางเดินลงไปสวนอาหาร
คูปองรับอาหารเช้า รับได้ตั้งแต่ ๖ โมงครึ่ง ถึง ๙ โมงครึ่งเท่านั้น ตื่นสายอดของฟรีนะ สิบอกให้!!!
ลงมาถึงชั้น ๑ แล้วเดินเลี้ยวขวาจะเจอสวนอาหาร
บรรยากาศสวนอาหารยามเช้า (มุมเงย)
มาแล้วข้าวผัดอเมริกัน โปะหน้าด้วยออมเล็ต
แอบถ่ายโต๊ะข้างเคียง
ลาเต้ร้อน ๆ กับน้ำส้ม ทำให้กะปรี้กะเปร่ามีพลังแต่เช้า
ไลน์อาหารเช้าของโรงแรม
ก่อนที่จะถึงเวลาเช็คเอาท์ (๑๒:๐๐ น.) จึงออกไปเดินชมเมืองย่อยอาหารเช้าสักหน่อย เนื่องจากมีเวลาเที่ยวเวียงจันทน์มากขึ้น เพราะตั๋วรถไปวังเวียงหมดตามที่กล่าวไว้ในตอนก่อนหน้า ทำให้ต้องยกเลิกโรงแรมที่วังเวียง เปลี่ยนแผนเที่ยวท่องเที่ยวจนหมด และจองโรงแรมใหม่ในเวียงจันทน์เพิ่มอีก ๑ คืน T_T แต่ข้อดีคือทำให้ประหยัดงบ และมีเวลาชมเวียงจันทน์อย่างละเอียดเพิ่มขึ้น :) เช้านี้ตั้งใจว่าจะไปทาดดำ(พระธาตุดำ) และขึ้นไปชมทัศนียภาพนครหลวงเวียงจันทน์ยามเช้าบนยอดประตูไซ
เดินออกจากโรงแรมเลี้ยวขวามุ่งสู่ถนนสามแสนไทยามเช้าซึ่งแทบจะไม่มีรถสักคัน เวียงจันทน์ช่างเป็นเมืองหลวงที่เงียบสงบเสียจริง แต่จะว่าไปแล้วในช่วงสงกรานต์ยามเช้าที่กรุงเทพมหานครก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน ระหว่างทางได้ชมอาคารบ้านเรือนสองข้างถนนบนถนนสามแสนไท ได้พบทั้งตึกเก่าสมัยอาณานิคม บาร์เหล้า ร้านขายไวน์ และอาคารที่ดูดีมีศิลปะแหวกแนวไม่ซ้ำใคร แม้จะเดินผ่านถนนเส้นนี้บ่อยแต่ก็ยังมีสิ่งใหม่ ๆ ให้ค้นพบและตื่นเต้นกับมันได้อยู่ เดินตรงไปได้ประมาณ ๓๐๐ เมตรจะเจอสี่แยกร้านอาหารครัวลาว ให้เดินเลี้ยวซ้ายเข้าถนนจันทกุมาร(Rue Chanthakhoumane) จะเจอวงเวียนทาดดำ(พระธาตุดำ) ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กึ่งกลางถนน
ทาดดำ (พระธาตุดำ) ไม่พบหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด เป็นเจดีย์ทรงระฆังแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่แห่งเดียวในเวียงจันทน์ มีลักษณะคล้ายเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมในศิลปะล้านนา และอยุธยา แต่เพราะศิลปะล้านนา และอยุธยานิยมทำเฉพาะส่วนฐานให้เป็นแปดเหลี่ยมส่วนองค์ระฆังยังคงเป็นทรงกลมอยู่ แต่ทาดดำส่วนองค์ระฆังถูกลดมุมให้มีหลายเหลี่ยมจนมีรูปทรงพุ่มคล้ายดอกบัวจึงสันนิษฐานว่าล้านช้างรับมาดัดแปลงให้เป็นในรูปแบบของตนเอง ทาดดำเชื่อว่าเป็นทางเข้าออกของพญานาค ๗ เศียรที่ออกมาช่วยเหลือชาวเมืองเวียงจันทน์ในสมัยที่ทำสงครามกับสยาม โดยแต่เริ่มเดิมทีส่วนพระธาตุถูกหุ้มด้วยทอง แต่ถูกสยามลอกออกในสมัยที่สยามเข้ายึดเวียงจันทน์...
จากมะลิน้ำพุไปทาดดำ (พระธาตุดำ) ระยะทางเพียง ๓๕๐ เมตรเท่านั้น
ถนนสามแสนไทยามเช้า ในช่วงสงกรานต์
บาร์เล็ก ๆ แทรกอยู่ในอาคารสไตล์โคโลเนียล
ร้านขายสุรา และไวน์ฝรั่ง
อาคารแปลกตาบนถนนสามแสนไท
ไม่รู้ว่าด้านในเป็นอะไร แต่ด้านนอกตกแต่งได้น่าสนใจมาก
ถึงสี่แยกร้านอาหารครัวลาวแล้ว เลี้ยวซ้ายโลด
เจอทาดดำ (พระธาตุดำ) แล้ว
ด้านนี้ย้อนแสงแฮะ
มีม้านั่งให้พักผ่อนด้วย
มีกระทงบายศรีมาสักการะพอสมควร
ทาดดำมุมเงย กาลเวลาก็ยังมิอาจทำลายความงดงามลงไปได้
ด้านหน้าย้อนแสงเลยเดินไปถ่ายด้านหลัง
ยิ่งพอรู้ประวัติความเป็นมาแล้ว ยิ่งซาบซึ้งในความงดงามมากยิ่งขึ้นล่ะ
รอบวงเวียนทาดดำเต็มไปด้วยร้านค้า อาทิ ร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรู ร้านเสริมสวย ร้านนวด เป็นต้น จึงทำให้มีรถจอดบริเวณทาดดำค่อนข้างมาก หลังใช้เวลาถ่ายรูป และชื่นชมความงดงามของทาดดำ ราวครึ่งชั่วโมงจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ประตูไซต่อเป็นจุดหมายถัดไป จากทาดดำไปประตูไซระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตร สามารถใช้เส้นทางใดก็ได้แค่ให้ไปออกตรงถนนล้านช้างก็พอ ไม่หลงแน่นอน ผมผู้ซึ่งมีประสบการณ์หลงทางมาแล้วเมื่อวาน วันนี้จึงเดินได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นเพราะคุ้นชินกับถนนหนทางในเวียงจันทน์มากขึ้นแล้ว
จากวงเวียนทาดดำเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อย ๆ ทางจะไปบรรจบถนนคูเวียง สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา เสริมทัศนียภาพให้สวยงาม และความประทับใจของผู้มาเยือน เดินไปจนเกือบจะถึงถนนล้านช้างก็พบกับจิตรกรรมบนฝาผนัง(สตรีทอาร์ต) โดยบังเอิญ เลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก จากการตีความภาพน่าจะสื่อถึงอนาคตที่สดใสราวกับสายรุ้งของประเทศลาว ซึ่งจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ตีความจากภาพที่มีใบหน้าเด็กประกอบอยู่ หลังเล่นเดาความหมายจากภาพสตรีทอาร์ตจึงเดินเข้าสู่ถนนล้านช้างแล้วเดินสำรวจเมืองหลวงของลาวต่อ การจราจรบนถนนล้านช้างเริ่มคักคักแต่ก็ยังถือว่าบางตา ระหว่างทางได้พบเจอซอยเล็ก ๆ มากมายจึงลองเดินเข้าไปสำรวจ เจอร้านคาเฟ่ แอมะซอน ร้านติ่มซำ และได้เห็นวิถีชีวิตของชาวกรุง(เวียงจันทน์) ยามเช้าที่จูงสุนัขออกมาเดินออกกำลังกาย ตลอดสองข้างทางยังไม่พบร่องรอยของมูลสุนัขแต่อย่างใด เดินได้สบายหายห่วง ตลอดเวลาหนึ่งคืนที่ผ่านมากล้าพูดได้ว่าถนนหนทางในเวียงจันทน์ค่อนข้างสะอาดเลยทีเดียว ถ้าไม่นับฝุ่นควัน แถมกลางคืนก็เดินได้รู้สึกปลอดภัย ผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร รู้สึกสบายใจไม่ต่างจากบ้านเราเลย อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องระวังตัวเอง และไม่ประมาทจนเกินไปเป็นดีที่สุด
ออกมาจากซอยแล้วเดินบนทางเท้าถนนล้านช้างไปเรื่อย ๆ ก็พบกับอาคารสไตล์โคโลเนียลซึ่งเป็นที่ทำการสถาบันฝรั่งเศส ประเทศลาว (Institut Français) ทำหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาภาษาฝรั่งเศสในทุกประเทศทั่วโลก หน้าสถาบันฝรั่งเศสจึงมีป้ายประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ศึกษาภาษาฝรั่งเศสมากมาย เห็นแล้วก็หวนนึกถึงสมัย ม.ปลาย ที่ยังเรียนภาษาฝรั่งเศสอยู่ทุกที ๕๕๕ เดินเลยจากสถาบันฝรั่งเศสไปไม่ไกลก็เริ่มเห็นมีเต้นท์มากลาง และมีซุ้มเบียร์คาดว่าคงจะเตรียมไว้สำหรับงานสงกรานต์ ตรงหัวมุมถนนสายลมมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่แต่ไม่รู้ว่ากำลังจะสร้างอะไร มีป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ร้านอาหารเปิดใหม่ มีร้านราเมงด้วย ในที่สุดก็เจอร้านอาหารญี่ปุ่นในเวียงจันทน์แล้ว! (ดีใจทำไม) ยิ่งเดินไปเรื่อย ๆ ประตูไซจากที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไซเสียแล้ว
จากทาดดำทางไหน ๆ ก็ไปได้ทั้งนั้นสุดท้ายก็ไปบรรจบกันที่ถนนล้านช้าง (Avenue Lane Xang )
ร้านอาหาร Chateau du Laos (ชาโตว์ ดู ลาว)
ร้านเสริมสวย ร้านข้าวเหนียวปิ้งหมู(หมูปิ้ง) ร้านนวดก็มี
เดินไปเรื่อย ๆ ไปเจอถนนคูเวียง มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาเป็นแนวยาว
ร้านตำแซบ แท้โฮ๊??? แม่วันตำหลวงพระบาง ตำหมากฮุ่ง ตำข้าวปุ้น(ตำขนมจีน) แต่วันนี้ปิด !!!
สกายแลป ณ เวียงจันทน์
มุมโรแมนติกในเวียงจันทน์ ปล.ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามท่าจะอร่อยน่าดู
จิตรกรรมบนกำแพงที่เจอโดยบังเอิญ (Vientiane Street Artかな)
แบงก์เขียวกสิกรไทย สาขา นครหลวงเวียงจันทน์
ฝั่งตรงข้ามแบงก์เขียวคือ ศูนย์การค้าตลาดเช้าพลาซ่า แหล่งชอปปิงชื่อดังของชาวเวียงจันทน์
ทะนาคานฮ่วมพัดทะนา??? (ธนาคารร่วมพัฒนา)
แอบเดินเข้ามาสำรวจซอยที่เพิ่งเจอ อยู่ดี ๆ ก็เจอคาเฟ่ แอมะซอน และอาเจ้ ติ่มซำ
ในซอยมีธนาคาร ร้านอาหาร สำนักงาน และที่อยู่อาศัย
นี่มันย่านธุรกิจของเวียงจันทน์หรือเปล่า เต็มไปด้วยสถาบันทางการเงิน
๒๗๔ ล้านคนในโลกเว้าภาษาฝรั่ง และนอกจากนั้นแล้วข้อยเว้าภาษาฝรั่งได้ ! (แปลป้ายโฆษณา)
*ภาษาลาวเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า ฝรั่ง
ท่านต้องการไปเรียนอยู่ประเทศฝรั่งบ่?
แคมปัสฝรั่งสามารถช่วยท่านได้
แคมปัสฝรั่งแม่มหยัง? (แคมปัสฝรั่งเศสคืออะไร?)
(แปลป้ายโฆษณา)
ด้านหน้าสถาบันฝรั่งเศสแห่งประเทศลาว ถนนล้านช้าง
เปิดแล้ว เทนโตะ ราเมง มีซุ้มเบียร์เตรียมจัดงานสงกรานต์แหง ๆ
มองไปฝั่งตรงข้ามถนนล้านช้าง เต็มไปด้วยธนาคาร
อาคารสไตล์โคโลเนียลที่หลงเหลือบนจุดตัดถนนล้านช้าง กับถนนดงพระลาน(Rue Dongpalane)
ปัจจุบันเป็นที่ทำการธนาคาร Banque Franco (bfl)
กำลังก่อสร้างอะไรอยู่นะ ณ จุดตัดถนนล้านช้าง กับถนนสายลม
ถนนสายลม
เดินไปเรื่อย ๆ เห็นประตูไซอยู่ไม่ไกลมองไปฝั่งตรงข้ามเห็นวันทาดฝุ่น (วัดธาตุฝุ่น)
หอสมุดนครหลวงเวียงจันทน์ ยามเซ้า ^^
ป้ายรอรถเมล์ อ้ะ! ประตูไซอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
โฮงเฮียนมัดทะยมสึกสาสมบูนเวียงจัน (โรงเรียนมัธยมศึกษาสมบูรณ์ เวียงจันทน์???)
แอบมองเข้าไปในโรงเรียนมัธยม เพราะเป็นวันหยุดเลยไม่เจอเด็กสักคน (ไม่โดนจับก็บุญแล้วลุง ๕๕๕)
เดินเลยโรงเรียนมัธยมมา ๕๐ ก้าว ในที่สุดก็ถึงแล้ว ประตูไซ
ยามเซ้าก็งามคือตอนมืดเลย (ตอนเช้าก็สวยเหมือนตอนกลางคืนเลย)
ศูนย์ฝึกอบรมเทตจังเน็ตประเทศลาว ตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูไซ เทตจังเน็ตคือองค์กรที่ทำหน้าที่คอยจัดกิจกรรมดี ๆ ที่ทำร่วมกันระหว่างกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา กับชาวญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรม และเสริมสร้างการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ มากขึ้น ผลงานที่โดดเด่นของเทตจังเน็ตเช่น กิจกรรมแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาญี่ปุ่น อบรมคอมพิวเตอร์ จัดทำพจนานุกรมญี่ปุ่น-ลาวเป็นต้น
พจนานุกรมภาษาญี่ปุ่น-ลาว จัดทำโดยเทตจังเน็ต
แน่นอนว่าบางท่านอาจจะคิดว่าเมื่อคืนก็ไปประตูไซมาแล้ว จะไปอีกทำไม? เพราะว่าวันนี้ผมไม่ได้มาดูประตูไซอย่างเดียวแต่จะพาทุกท่านขึ้นไปชมวิวด้านบนประตูไซด้วย ^^ เมื่อข้ามทางม้าลายอย่างระแวดระวังแล้วในที่สุดก็ได้มายืนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไซเสียที พอได้มายืนมองใกล้ ๆ แล้วรู้สึกว่าใหญ่โตกว่าที่คิดโขเลย แน่นอนว่าคำว่าประตูไซแปลว่า ประตูชัย ซึ่งแปลได้อีกว่าประตูแห่งชัยชนะ สร้างขึ้นเพื่อสดุดีแด่วีรชนลาวที่ร่วมรบกับฝรั่งเศสเพื่อเอกราชของประเทศลาว สร้างขึ้นเลียนแบบ L'arc de triomphe de l'Étoile หรือประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านช้าง สร้างเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๑ แรกเริ่มเดิมทีเรียกว่า อนุเสาวรีย์ แต่หลังจากที่คณะปฏิวัติคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจรัฐบาลได้ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ จึงเปลี่ยนไปเรียกเป็น ประตูไซ เพื่อแสดงถึงชัยชนะของคณะปฏิวัติคอมมิวนิสต์
ขณะนี้เวลาได้ ๙ โมงเช้าแล้ว รถทัวร์เริ่มพานักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมประตูไซ ผมจึงรีบเดินลอดเข้าไปใต้ประตูไซ แหงนมองดูเพดานที่มีการตกแต่งด้วยจิตรกรรมแบบล้านช้างมีทั้งภาพสัตว์หิมพานต์ และเทพฮินดู ผสมผสานกันอย่างลงตัว แล้วจึงรีบไปซื้อบัตรขึ้นไปชมวิวบนประตูไซสนนราคาคนละ ๓,๐๐๐ กีบ (ประมาณ ๑๑ บาท) เท่านั้น ทางขึ้นไปบนประตูไซหากใครเคยขึ้นไปบนยอดภูเขาทองที่กรุงเทพมหานครแล้ว คงรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก ประตูไซมีทั้งหมด ๗ ชั้น ดังนั้นจึงเดินขึ้นลงได้สบายมาก ในบางชั้นมีร้านขายของฝากด้วย ส่วนมากจะเป็นเสื้อสกรีนอักษรลาว หนังสือภาษาลาว ผ้าซิ่น กระเป๋าผ้า ย่าม งานแกะสลักต่าง ๆ บางอย่างก็ดูคล้ายของที่ขายตามโบราณสถานในอยุธยา (คงรับมาจากแหล่งเดียวกัน) ยิ่งขึ้นไปสูงเรื่อย ๆ ทางก็ยิ่งแคบลง พอขึ้นไปชั้นบนสุดก็เหลือเนื้อที่ที่จุได้น่าจะไม่เกิน ๘ คน แม้ประตูไซจะไม่สูงมากแต่เนื่องจากเวียงจันทน์ไม่ได้มีตึกระฟ้าแบบในกรุงเทพฯ บนยอดประตูไซจึงเพียงพอที่จะเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั่วทั้งเวียงจันทน์ แต่ตอนเช้ามีหมอกลงขมุกขมัวจึงทำให้เห็นทิวทัศน์ได้ไม่กว้างไกลนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจความสงบ และเรียบง่ายของเมืองหลวงแห่งนี้ได้ไม่ยาก ดังสโลแกนการท่องเที่ยวลาวที่พบเห็นได้ทั่วเวียงจันทน์ว่า "Laos Simply Beautiful"
หลังดื่มด่ำกับทิวทัศน์นครหลวงเวียงจันทน์จนจุใจแล้วก็เริ่มได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น จึงคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ลงไปเก็บภาพด้านล่างดีกว่า เดินทะลุประตูไซไปอีกจะเจอน้ำพุเต้นระบำ กับสวนประตูไซ มองไปทางซ้ายจะเห็นสำนักงานนยกรัฐมนตรี ประเทศลาว เป็นอาคารสีขาวหลังใหญ่ที่ถูกครอบด้วยหลังคาสีแดง บริเวณน้ำพุน่าจะเป็นจุดถ่ายรูปประตูไซที่เป็นที่นิยมที่สุด เพราะเต็มไปด้วยกล้องของนักท่องเที่ยวที่ทุกคนต่างหวังจะเก็บภาพประตูไซที่โดดเด่นอยู่เบื้องหลังน้ำพุไปฝากที่บ้านกันทั้งนั้น นอกจากกล้องของนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีกล้องของคนในท้องถิ่นที่อาสามาถ่ายรูปให้แล้วเก็บเงินค่ารูป เห็นว่ามีเป็นแพคเกจเลยทีเดียว แต่ไม่ทราบว่าราคาเท่าไรบ้าง เพราะไม่ได้ลองใช้บริการ และไม่โดนตื้อด้วยแม้จะยืนถ่ายรูปอยู่ตรงน้ำพุเป็นเวลานานก็ตาม สงสัยดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยว ๕๕๕
หลังดื่มด่ำกับทิวทัศน์นครหลวงเวียงจันทน์จนจุใจแล้วก็เริ่มได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น จึงคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ลงไปเก็บภาพด้านล่างดีกว่า เดินทะลุประตูไซไปอีกจะเจอน้ำพุเต้นระบำ กับสวนประตูไซ มองไปทางซ้ายจะเห็นสำนักงานนยกรัฐมนตรี ประเทศลาว เป็นอาคารสีขาวหลังใหญ่ที่ถูกครอบด้วยหลังคาสีแดง บริเวณน้ำพุน่าจะเป็นจุดถ่ายรูปประตูไซที่เป็นที่นิยมที่สุด เพราะเต็มไปด้วยกล้องของนักท่องเที่ยวที่ทุกคนต่างหวังจะเก็บภาพประตูไซที่โดดเด่นอยู่เบื้องหลังน้ำพุไปฝากที่บ้านกันทั้งนั้น นอกจากกล้องของนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีกล้องของคนในท้องถิ่นที่อาสามาถ่ายรูปให้แล้วเก็บเงินค่ารูป เห็นว่ามีเป็นแพคเกจเลยทีเดียว แต่ไม่ทราบว่าราคาเท่าไรบ้าง เพราะไม่ได้ลองใช้บริการ และไม่โดนตื้อด้วยแม้จะยืนถ่ายรูปอยู่ตรงน้ำพุเป็นเวลานานก็ตาม สงสัยดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยว ๕๕๕
มุมมองแบบเต็มหน้าประตูไซ
หน้าประตูไซอีกสักรูป
ซุ้มโค้ง (Arc) หน้าประตูไซ ด้านบนตกแต่งด้วยศิลปะล้านช้าง
จากซุ้มโค้งมองเห็นภายในที่ตกแต่งด้วยเทพฮินดู และสัตว์หิมพานต์
วิจิตรงดงามจริง ๆ
ทัวร์เริ่มมาลงแล้ว
รีบชิงไปซื้อบัตรขึ้นไปชมประตูไซก่อนดีกว่า คนละ ๓,๐๐๐ กีบเท่านั้น
มองลงไปจะเห็นโต๊ะขายตั๋วอยู่ทางซ้ายมือ
ห้ามขีดเขียนใส่ฝาเด็ดขาด
ฮึบ ฮึบ ฮึบ เดินอีกนิดเดียว
มองลอดช่องไประหว่างเดินขึ้นบันได
ความงามที่มีมากกว่ามิติเดียว
เอ๊ะ! ขึ้นมาเจอร้านขายของฝาก
ออกมาชมวิวเสียหน่อย
บรรยากาศสงบไม่เหมือนมาแหล่งท่องเที่ยวเลย
ร้านของฝากอีกร้าน
มองออกไปทางถนนล้านช้าง หันหน้าไปทางหอคำ
เหล็กดัดหน้าต่างดัดเป็นรูปเทพพนม
ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดแล้ว เย่ พิชิตประตูไซแล้ว!
ทิวทัศน์ชั้นบนสุด มองไปทางสำนักนายกรัฐมนตรี
ทิวทัศน์หลังประตูไซ มองไปทางสวนประตูไซ เห็นน้ำพุเต้นรำด้วย
จากชั้นบนสุด มองไปทางถนนล้านช้างอีกครั้ง รถน้อยแท้ ๆ
ถ่ายรูปจนพอใจสมควรแก่เวลา กลับโรงแรมดีกว่า
ให้อารมณ์เหมือนไปชมปราสาทขอมนิด ๆ
กลับมาเจอร้านขายของฝากอีกครั้ง :)
หน้าต่างมีรูปสลักพระพุทธรูปน่าจะปางนาคปรก เพราะอยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิ และมีพญานาคแผ่หัวเป็นพังพาน
ลงมาแล้วเจอม้านั่งให้นั่งพัก อุปะถำโดย กานบินไท
สำนักงานนายกรัฐมนตรีตั้งอยู่ด้านข้างประตูไซเลย
ประตูไซมุมเงยอีกครั้ง จะสังเกตเห็นฐานบัวด้านบนก่อนถึงยอดประตูไซสะท้อนความเชื่อทางพุทธศาสนา
นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีน กัมพูชา และเวียดนาม กำลังมาบุกประตูไซ
น้ำพุเปิดได้จังหวะพอดี
สำนักงานนายกรัฐมนตรีอีกมุม
รูปคู่สำนักงานนายกรัฐมนตรี กับประตูไซ
เวลาล่วงเลยมาถึง ๑๐ นาฬิกา แสงแดดเริ่มเข้ามาเปลี่ยนอากาศที่สบาย ๆ ให้เป็นอากาศที่ร้อนแบบสุดขีด ในวันที่ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆกลางฤดูร้อนเช่นนี้การจะหลบเลี่ยงแสงแดดจึงเป็นไปได้ยาก จึงเป็นเวลาอันสมควรที่จะกลับโรงแรมไปเช็คเอาท์ได้แล้ว โดยทางกลับผมเลือกเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนล้านช้างเพื่อจะได้ชมเมืองในมุมที่ต่างจากตอนขามา ฝั่งขวาตรงข้ามประตูไซเป็นที่ตั้งของกระทรวงกสิกรรม และป่าไม้ หน้ากระทรวงฯ มีป้ายรถเมล์ประจำทางซึ่งมีแผนที่รถเมล์ระบุจำนวนสายชัดเจน ดูแล้วเข้าใจง่าย หน้าป้ายรถเมล์มีรถขายสับปะรดเนื้อฉ่ำ ดูน่าจะคลายความร้อนได้ดีไม่น้อย เดินเลยกระทรวงฯ ไปหนึ่งบล๊อกถนนตรงข้ามกับโรงเรียนมัธยมจะเป็นสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถัดไปจากสหประชาชาติไม่ไกลจะเป็นประตูทางเข้าวัดทาดฝุ่น(วัดธาตุฝุ่น) จึงแวะเข้าไปสำรวจเสียหน่อย
วัดทาดฝุ่น (วัดธาตุฝุ่น)ดีเด่นในเรื่องการรักษาสถาปัตยกรรมแบบลาวแท้ ๆ แต่ไม่ได้มีความยาวนานทางประวัติศาสตร์นักเพราะเพิ่งสร้างในปี พ.ศ.๒๕๓๘ ภายในวัดมีอาณาบริเวณกว้างขวาง อากาศไม่ร้อนเพราะมีร่มไม้ปกคลุม และมีบรรยากาศที่เงียบสงบ เหมาะแก่การนั่งสมาธิมาก ๆ แต่เนื่องจากกลัวไปเช็คเอาท์ไม่ทันเลยใช้เวลาชมวัดทาดฝุ่นได้ไม่นานนัก แม้จะรีบแต่ก็ยังไม่พลาดโอกาสเดินชมบ้านชมเมือง มานึกดูอีกทีพรุ่งนี้ก็จะต้องกลับไทยแล้ว จึงอยากใช้เวลาที่นี่ให้คุ้มค่าที่สุด ...
ระหว่างทางได้ผ่านตึกที่น่าจะมีอายุเก่าแก่พอสมควรเป็นที่ทำการสำนักงานธุรกิจการท่องเที่ยวลาว ที่สำนักงานมีแผนที่ นครหลวงเวียงจันทน์บริการแจกฟรีด้วย เดินไปได้สักพักก็ถึงตลาดเช้าซึ่งแม้จะสายแล้วแต่ก็ยังมีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของกันอยู่ หน้าตลาดเช้ามีรถขายน้ำมะพร้าวไม่รู้ว่าคนขายไปรับมะพร้าวมาจากที่ไหนเพราะลูกใหญ่มาก ไม่เคยเห็นมะพร้าวลูกใหญ่ขนาดนี้แถวบ้านมาก่อนถึงจะมาจากเมืองมะพร้าว (แม่กลอง) ก็เถอะ
เวลาประมาณ ๑๑ โมงครึ่ง ในที่สุดก็เดินฝ่าไอร้อนมาถึงหน้าโรงแรมได้โดยสวัสดิภาพ รีบขึ้นไปเก็บของ เช็คสัมภาระ ตรวจสภาพห้องให้เรียบร้อยแล้วนำคีย์การ์ดไปคืนที่ลอบบี้ พนักงานสาวคนเดิมไม่ลืมที่จะขอบคุณแน่นอนว่าเป็นภาษาอังกฤษ (อยากรู้จังว่าเขาคิดว่าผมเป็นคนชาติไหน :D) เดินออกมาจากโรงแรมแล้วรู้สึกใจหายแปลก ๆ แม้จะแค่คืนเดียวแต่ก็รู้สึกเป็นโรงแรมที่ดีมาก ๆ เลยนะ ไว้ครั้งหน้าถ้ามาเวียงจันทน์จะมาพักอีกแน่ ๆ !
กระทรวงกสิกรรม และป่าไม้ ตั้งอยู่ตรงข้ามประตูไซ
หันไปทางประตูไซ อีกสักภาพ สับปะรดน่ากินเชียว
แผนที่เส้นทางรถเมล์ใน นครหลวงเวียงจันทน์ ทำเข้าใจง่ายดี
ประตูไซอีกสักมุม
ดูท่าผมจะชอบประตูไซมาก ตอนเลือกภาพก็ตกใจเพราะส่วนใหญ่มีแต่ภาพประตูไซ ๕๕๕
ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนมัธยมจะเป็นสำนักงานองค์การสหประชาชาติ
มองไปฝั่งโรงเรียนมัธยม
ข้างสหประชาชาติจะเป็นวัดทาดฝุ่น มองเห็นสิม (อุโบสถ) อยู่ไกล ๆ
จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
ซุ้มประตูทางเข้าวัดทาดฝุ่น
สิม (อุโบสถ) วัดทาดฝุ่น มียอดเจดีย์ทรงกลีบบัว
ภายในวัดทาดฝุ่น
อาคารสำนักงานธุรกิจท่องเที่ยวประเทศลาว
อาคารสำนักงานธุรกิจท่องเที่ยวลาวมุมแหงน แสงแดดส่องลงมาได้จังหวะมาก
มะพร้าวลูกโตแท้ ๆ
ตะหลาดเซ้า (สายแล้ว)
ฟุตปาธบนถนนล้านช้างปลูกต้นจำปาลาว (ลีลาวดี) ดอกไม้ประจำชาติลาวไปตลอดสาย
ที่เวียงจันทน์ก็มีโรงแรมแคปซูลแฮะ
ตรงไปน้ำพุโลด อาคารสไตล์ลาวประยุกต์สวยงามร่วมสมัยดี
บ้าย บาย มะลิน้ำพุ เทื่อหน้าสิมาพักอีกเด้อ
จัดที่นอนให้พนักงานโรงแรมสักหน่อย
今度ラオスに来たら、是非ここに泊まりたい!!!
ถ้าได้มาลาวครั้งหน้า ก็อยากจะพักที่นี่อีก !!!
ตัวผมซึ่งอยู่ในสถานะแบกเป้ ๑ ใบ และถุงผ้า ๑ ใบ ที่ไม่หนักมากนักแต่ถ้าเดินเป็นเวลานานก็หนักไม่หยอก ตอนนี้กำลังอยู่ในภาวะไม่มีที่ไป เพราะโรงแรมใหม่ที่จองไปยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน (เช็คอินได้ตอนบ่าย ๒) ผมจึงมีแผนไปหาอะไรกินที่ร้านกาแฟโจมา ร้านกาแฟชื่อดังในเวียงจันทน์ ที่เวลาไปอ่านกระทู้เที่ยวลาวแล้วคนส่วนใหญ่มักจะแวะดื่มกาแฟกันที่ร้านนี้ ร้านกาแฟโจมาตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมะลิน้ำพุ เดินไปราว ๕ นาทีก็ถึง โดยใช้เส้นทางเดินไปทางน้ำพุ แน่นอนว่าที่น้ำพุมีน้ำพุอยู่จริง ๆ รอบวงเวียนน้ำพุส่วนมากจะเป็นร้านอาหารนานาชาติที่โด่งดังเลยคือร้านขอบใจเด้อร้านอาหารลาวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องไม่พลาด
เดินชมน้ำพุได้ไม่นานข้ามถนนไปอีกฝั่งก็จะเจอร้านกาแฟที่ตกแต่งสไตล์ตะวันตกนามว่าโจมาแล้ว แขกที่ร้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น เมนูที่ร้านขายก็ไม่ต่างจากร้านกาแฟทั่วไปเท่าไร แต่วิธีการสั่งอาหารของที่นี่คือให้เดินไปสั่งอาหารก่อน ชำระเงินให้เรียบร้อย แล้วจะมีป้ายออเดอร์ ให้หยิบป้ายออเดอร์ไปวางบนที่นั่งที่ต้องการ แล้วรอพนักงานมาเสิร์ฟตามออเดอร์เป็นอันเสร็จเรียบร้อย มื้อนี้ผมสั่งกาแฟคาราเมล กับเค้กช็อกโกแลตไปเสียเงินไป ๔๑,๐๐๐ กีบ (๑๕๘ บาท) ราคาถือว่าเป็นมาตรฐานทั่วไปของร้านกาแฟระดับนี้ บรรยากาศที่ร้านดี และชิลมาก เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ แถมยังมีไวไฟฟรีด้วย ใช้ได้ ๓ ชั่วโมง จึงตั้งใจจะนั่งฆ่าเวลารอเช็คอินโรงแรมที่ร้านกาแฟนี้ล่ะ...
น้ำพุแห่งย่านน้ำพุ???
ต้นซากุระ ณ เวียงจันทน์
เขาเรียกย่านนี้ว่าน้ำพุกันจริง ๆ นะ
Food Truck ก็มี
อ้ะ ! เจอร้านอาหารญี่ปุ่นอีกร้านแล้ว
ร้านค้าส่วนใหญ่ปิด คงเพราะเป็นวันหยุด
เที่ยงนี้กินที่นี่แล้วกัน Joma ร้านกาแฟโจมา ร้านชื่อดัง ณ เวียงจันทน์
บรรยากาศภายในร้านกาแฟโจมา
ตกแต่งได้ดูน่าพักผ่อนมาก
มีนโยบายงดใช้หลอดดูดด้วย แต่ก็ยังมีหลอดให้บริการนะแต่ใครอยากใช้ต้องเดินไปหยิบเอาเอง
มาแล้ว มื้อกลางวัน ทานแบบเบา ๆ แต่ราคาไม่เบา
Ice Caramella กาแฟคาราเมล
Nanaimo Bar ช๊อกโกแลตเค้ก ตรงกลางเหมือนใส่เนื้อมะพร้าวแห้งลงไปด้วย ?
มองออกไปทางนอกร้าน
ขอบคุณสำหรับอาหาร !!!
อย่างที่บอกไว้ในช่วงเกริ่นนำตอนนี้ว่าตั้งใจจะเขียนวันที่ ๒ ให้จบแต่ก็ทำไม่ได้ครับ เพราะเขียนไปเขียนมาก็มีอะไรจะเล่าเต็มไปหมด เพื่ออรรถรสในการอ่านจึงขอยกเนื้อหาในวันนี้อีกส่วนหนึ่งไปไว้ตอนหน้าครับ เพื่อคงรายละเอียดให้ครบถ้วนและไม่ขาดตอน ในส่วนของสรุปค่าใช้จ่ายก็ขอยกไปตอนหน้าเลยแล้วกันจะได้ไม่สับสน ท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านจนมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอขอบคุณที่ให้กำลังใจกันมา และร่วมท่องเที่ยวไปด้วยกันครับ สำหรับตอนหน้าผมจะพาไปเข้าวัดเข้าวา ฉลองปีใหม่ลาวเสียหน่อย ทริปสายบุญ ส่องสถาปัตยกรรมล้านช้างกันครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ฝันดีครับ :)
0 comments:
Post a Comment