Sunday, 15 May 2016

SAMA'S Story:พาล่องใต้! [EP.8 ท่องราตรี จิบชาร้อน ณ เบตง ใต้สุดสยามเมืองงามชายแดน! ]


      กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งครับ ห่างหายกันไปนานมาก หวังว่าท่านผู้อ่านจะยังไม่ทิ้งผมกันนะครับ
ผมยังพาเที่ยวไม่ครบเลย (5555) ไม่คิดว่าบล๊อกนี้จะคลอดเอนทรี่มามากมายขนาดนี้ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าในตอนที่ผมเพิ่งเริ่มเขียนตอนที่หนึ่ง ผมคิดว่าจะจบทริปได้ภายใน 3-4 ตอน แต่ความจริงแล้วพอเริ่มเขียน ความทรงจำต่างๆระหว่างทริปได้พรั่งพรูขึ้นมาทำให้ผมเขียนจนเพลินไปเลยครับ กลับมาอ่านอีกทีก็พบว่า "ทำไมมันยาวจังวะ เขียนอะไรเยอะแยะ นี่ไปมาแค่ 6 วัน 5 คืนเองนะ " เอาล่ะครับระหว่างที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้วหลายท่านคงคิดในใจว่า "เมื่อไรมันจะพาเข้าทริปสักที ฉันอยากไปเที่ยวนะโว้ย ไม่ได้มาฟังแกบ่น" เอนทรี่นี้ผมจะพาทุกท่านไปท่องเมืองเบตงยามราตรีกัน ถ้าอยากรู้ว่าเบตงยามราตรีจะสนุกขนาดไหน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวร่ำ เวลา
อย่ามัวร่ำไร เชิญทัศนา!

หากท่านผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านตอนก่อน สามารถย้อนกลับไปอ่านได้โดยคลิกที่ลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ!


************************************************************************************
*EP.1 กว่าจะถึง"ยะลา"                                                                                                                          *
*EP.2 มาซิเชิญมาดู ชมดอกประดู่ที่เมืองยะลา!                                                                                    *
*EP.3 ทริปแสวงบุญ ในวันแดดแรง แต่ศรัทธาแรงกว่า!                                                                       *

************************************************************************************

ทางลงจากสวนสาธารณะบนภูเขา

ผ่านวัดจีนที่ไม่สามารถอ่านชื่อได้ครับ^^

ท่านเปากำลังตัดสินคดีอยู่ในศาลแน่ๆ 5555

ลงมาจากเขากลับเข้าสู่เมืองเบตงยามโพล้เพล้

ปากทางเข้าอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ฝั่งเมืองเก่าครับ

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559: นี่ผมมาเบตงยังไม่ครบหนึ่งวันเลยนะครับ แต่แตกมาได้ถึง 4 ตอนแล้ว (5555) ความเดิมจากตอนที่แล้วหลังจากที่พาทุกท่านไปแช่บ่อน้ำร้อนเบตง และพาเดินชมสวนสาธารณะบนภูเขาเมืองเบตงไปเรียบร้อยแล้ว พวกผมจึงกลับไปพักยืดเส้นยืดสายกันที่บ้านป้าสวย และลุงหล่อ (ที่พักของพวกผมในคืนนั้น) เมื่อพักผ่อนกันจนได้ที่แล้ว เวลาราว 20 นาฬิกา คุณแม่ก็มีแพลนจะไปพบปะกับเพื่อนร่วมงานในเมืองเบตง (เมื่อก่อนแม่ของผมเคยมาทำงานที่อำเภอเบตงครับ) ผมจึงขออาสาติดตามไปด้วยเพราะอยากชมสภาพบ้านเมืองของเมืองเบตงในยามค่ำคืนว่าจะยังครึกครื้นเหมือนสมัยผมยังเป็นเด็กหรือไม่? การท่องราตรีครั้งนั้นมีเพียงผมและแม่ไปกันสองคนเท่านั้นครับ คุณยาย คุณน้า และน้องชายของผมขอพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ที่พักจะดีกว่า เพราะเดินทางมาจนเหนี่อยล้ากันทั้งวันแล้ว คุณแม่ขับรถเก๋งคันเก่งของคุณแม่ออกจากที่พักโดยมีผมเป็นเพื่อนร่วมทางไปด้วย คุณแม่เริ่มต้นแวะเยียมเยียนเพื่อนที่ขายน้ำเต้าหู้ที่ย่านของกินกลางคืนก่อนเป็นอันดับแรก ย่านนี้ยังคงคึกคักครับมีอาหารขายมากมาย ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาหารจีนครับ นักท่องเที่ยวที่ผมเคยเจอบนสวนสาธารณะก็มาทานอาหารกันที่ย่านแห่งนี้ด้วยครับ (โลกกลมจริงๆครับ 5555)  หลังจากที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอหอมปากหอมคอแล้ว คุณแม่ก็มุ่งตรงไปแวะเวียนบ้านของเพื่อนคนถัดไปครับ คราวนี้จากย่านของกินเปลี่ยนมาเป็นบริเวณชุมชนครับ เนื่องจากเมืองเบตงอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราว 250 - 300 เมตรโดยเฉลี่ย ประกอบกับถูกโอบล้อมโดยเทือกเขาสันกาลาคีรีทำให้ชุมชนต่างๆต้องสร้างลดหลั่นกันตามระดับความสูงครับ ถนนที่เข้าไปในตรอกซอกซอยเองก็ทั้งแคบทั้งชันครับ ถ้ารถใครเบรกไม่ดีมีสิทธิ์ไหลลงไปได้ง่ายๆเลยนะครับ แต่ชุมชนแบบนี้นี่เองก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเมืองเบตงครับ เมื่อหาที่จอดรถในชุมชนที่ถนนแสนจะแคบได้แล้วคุณแม่จึงพาผมไปเยี่ยมเยียนที่บ้านของเพื่อนแม่คนที่สองครับ เพื่อนแม่บ่นว่า"ช่วงนี้อากาศร้อนมากเห็นว่าวันนี้ตอนเที่ยงวันอุณหภูมิสูงตั้ง 35 องศาเซลเซียสแน่ะ" เนื่องด้วยปกติแล้วเมืองเบตงมีอากาศไม่ร้อนจัดครับ เพราะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาค่อนข้างมาก ประกอบกับอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรทำให้อุณหภูมิค่อนข้างคงที่ ดังนั้นอุณหภูมิที่ 35 องศาเซลเซียสจึงถือว่าร้อนพีคมากๆสำหรับเมืองบนภูเขาอย่างเบตงที่ปกติแล้ว ในฤดูร้อนอุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ที่ 29-32 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดจะอยู่ที่ 22-24 องศาเซลเซียส นี่เป็นข้อดีของการอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรครับเพราะอุณหภูมิจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมาก ทำให้อากาศของเมืองเบตงในฤดูร้อนจะไม่ร้อนจัดเท่าบริเวณอื่นๆครับ
      เมื่อคุยกันพอหายคิดถึงแล้ว คุณแม่จึงขอตัวไปพบปะกับเพื่อนคนที่สามต่อครับ เพื่อนคนนี้อยู่ในชุมชนละแวกใกล้เคียงกันกับเพื่อนคนที่สองครับ เพื่อนคนนี้เป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ในอำเภอเบตงครับ เนื่องจากตอนผมเป็นเด็ก พ่อของผมเคยรับราชการที่โรงเรียนแห่งนั้นครับทำให้คุณแม่รู้จักกันกับเพื่อนคนที่สามนี้ นอกจากเมืองยะลาที่ดีเด่นด้านการวางผังเมืองแล้ว เมืองเบตงเองก็ถือว่าจัดโซนเมืองได้ดีเช่นกันครับ เพราะที่อยู่อาศัยชุมชนต่างๆจะอยู่รวมกันเป็นโซนเดียวเลยครับ อาจจะมีร้านขายของชำเล็กๆตามบ้านบ้าง ตัดภาพมาที่ถนนสายหลักก็จะเป็นโซนค้าขาย เป็นตลาด เป็นห้างร้านธนาคารต่างๆครับ เหตุนี้เองทำให้ผมตอนเป็นเด็กเคยจินตนาการว่าเหมือนอยู่ในเมืองของการ์ตูนโดราเอมอนเลยครับ เพราะละแวกบ้านของโนบิตะเองก็เป็นชุมชนทั้งหมด มีบ้านของไจแอนท์ที่เปิดร้านขายของชำเล็กๆด้วย พอโนบิตะออกมาซื้อของก็จะเป็นโซนที่มีแต่ร้านค้าเช่นกันครับ มันคล้ายคลึงกันจริงๆครับ แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีครับที่เมืองเบตงเองก็มีการวางแผนจัดโซนเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยครับ
      คุณแม่กับเพื่อนคนที่สามคุยกันอย่างออกรสครับ เนื่องจากแกเป็นคนคุยเก่งและใจดีครับ แถมพรุ่งนี้เช้าแกอาสาจะเลี้ยงติ่มซำพวกผมอีกด้วย^^ สิ่งหนึ่งที่ได้จากการไปเยี่ยมเยียนเพื่อนแม่ทั้งสามคนนอกจากคำถาม จบม.6 จะไปเรียนต่อที่ไหน? แล้วก็คือ วัฒนธรรมการดื่มชาร้อนตอนกลางคืนของชาวเบตงครับ เพื่อนทุกคนของคุณแม่ล้วนมีลูกหลานแล้วเช่นกัน ในช่วงหยุดยาววันสงกรานต์นี้เอง บรรดาลูกๆหลานๆก็กลับมายังถิ่นฐานบ้านเกิดเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ และถือโอกาสพบปะกับเพื่อนฝูงกันที่ร้านน้ำชา เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน จึงถือได้ว่าร้านน้ำชา เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ยอดนิยมของวัยรุ่นชาวเบตงเลยก็ว่าได้ครับ ในเมืองเบตงเองมีร้านน้ำชาให้ท่านได้เลือกลิ้มลองอยู่มากมาย ดังนั้นหลังจากสนทนาพาทีกับเพื่อนๆจนครบแล้ว คุณแม่จึงชวนผมไปดื่มน้ำชาครับเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว มาถึงเบตงทั้งที^^ ขับรถมาบริเวณย่านของกินตอนกลางคืนกันอีกครั้ง คุณแม่พาผมมาดื่มน้ำชาที่ร้านเพื่อนของคุณแม่ครับ มีคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวมานั่งดื่มน้ำชากันหนาตา ขณะนั้นก็เวลาเกือบ 22 นาฬิกาแล้วครับ ถ้าเป็นเมืองยะลาก็คงเงียบสงัดไปแล้ว เบตง จึงถือเป็นเมืองที่ยังคงมีชีวิตชีวามากๆในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครับ แม้จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบบ้าง แต่ก็ถือว่าวิถีชีวิตของคนที่นี่ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนมากที่สุดครับ

บริเวณย่านของกินครับ หลายๆร้านปิดไปแล้ว แต่ร้านน้ำชายังเปิดอยู่ครับ

อาหมวยช่วยเสริฟชาด้วย น่ารักจริงๆ

รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะในร้านน้ำชาแห่งเมืองเบตงครับ

      ร้านน้ำชายังคงเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ยอดฮิตของชาวเมืองเบตงครับ เจ้าของร้านนี้เป็นอาแปะอายุมากแล้วครับ แต่ยังคงชงชาได้อย่างคล่องแคล่วอยู่ ลูกค้าเรียกแกว่า เฮียม้อง ครับ โดยชาร้อนที่ว่านี้ใช่ว่าจะทานเดี่ยวๆเสียเมื่อไร เขามีเป็นเซตครับ จะทานคู่กับขนมจีบ ขนมเผือก หรือต้มกระดูกก็ได้ครับ หรือจะทานกับทั้งขนมจีบ ขนมเผือก และต้มกระดูกก็ได้ครับตามความชอบ โดยชาร้อนที่เบตงนั้นจะเป็นชาที่ใช้ผงชาที่ปลูกบนที่ราบสูงคาเมรอนในประเทศมาเลียเซียครับ ชาจึงมีความเข้ม และนุ่มครับ เมื่อชามาเสริฟจะเป็นสีเข้มๆครับ ลองชิมแล้วรสจะออกขมๆ ต้องคนให้เข้ากันก่อนครับเพราะข้างใต้มีนมข้นอยู่ครับ พอคนแล้วสีจะกลายเป็นชานมเลยครับ ถ้าไม่ชอบรสหวานก็บอกเฮียแกให้ใส่นมข้นน้อยๆได้ครับ เซตนี้พวกผมสั่งชาร้อนสองแก้ว ขนมจีบสองคู่ และขนมเผือกหนึ่งชิ้นครับ เสียดายที่ต้มกระดูกหมดไปแล้วอดกินเลยครับ (5555)

สีของชาร้อนเมื่อนำมาเสริฟครับ

โอ้โห! มหัศจรรย์เปลี่ยนสีได้ด้วย !!!!

แบบยกเซตครับ^^

      ค่าเสียหายเซตนี้ประมาณ 60 บาทครับ ขนมจีบเนื้อแน่นอร่อยมากครับ ขนมเผือกก็หวานมันอร่อยครับ จบมื้อดึกนี้ด้วยความประทับใจครับ พอทานเสร็จคุณแม่ก็คุยกับเฮียม้องพอหอมปากหอมคอ จากนั้นจึงขอตัวกลับที่พักครับ ระหว่างทางเห็นพี่ๆทหารกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ในตลาดด้วย สอบถามคนท้องถิ่นมาได้ความว่าพี่ๆแกซ้อมอย่างนี้ทุกวันครับ สุดยอดจริงๆ สู้ๆครับพี่ๆทหาร เมื่อกลับมาถึงที่พัก ผมกับคุณแม่จึงขอนั่งพักดูโทรทัศน์พร้อมกับคุณยาย คุณน้า ป้าสวย ลุงหล่อและพี่ยิ้มเสียก่อน ส่วนน้องชายของผมและน้องเจมส์นั้นต่างเล่นเกมด้วยกันอย่างเมามันครับ เด็กหนอเด็ก^^ ดูโทรทัศน์จนพอรู้สึกง่วงนอนแล้วผมจึงเตรียมตัวอาบน้ำ และเข้านอนครับ อากาศที่เบตงตอนกลางคืนเย็นสบายครับ ทำให้สามารถเปิดหน้าต่างนอนห่มผ้าได้สบายๆ โดยไม่ต้องง้อพัดลม และเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใดครับ
      ค่ำคืนแรกในเบตงกำลังผ่านพ้นไปแล้ว ในตอนหน้าผมจะพาทุกท่านไปทานอะไร และไปเที่ยวที่ไหนต่อนั้น อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาโดยตลอด สำหรับเอนทรี่นี้ขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าสวัสดีครับ

-SOLSAMA


Related Articles

0 comments:

Post a Comment